บทที่ 2 หมู่บ้านชิงซาน
เถียนจิวเมิ่งอยากจะขยับตัวลุกขึ้นมานั่งด้วยตนเอง แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว จึงไม่สามารถทำตามที่ใจของตนเองต้องการได้ ในเวลานี้เธอทำได้แค่เพียงยกศีรษะขึ้นมาเพื่อส่งสายตามองไปรอบกายของตนเองด้วยความรู้สึกแปลกใจปนสงสัยเท่านั้น
ภายในห้องที่เธอกำลังนอนอยู่นี้ เป็นห้องที่มีขนาดคับแคบ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้แทบทั้งห้อง ตรงผนังห้องด้านตรงข้ามเตียงมีกระถางไฟที่เป็นเหล็กขนาดใหญ่ มีรูปร่างดูแปลกตาเป็นอย่างมาก ในเวลานี้กระถางไฟกำลังถูกใช้จุดไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ทุกคนที่อยู่ภายในห้องนี้
นอกจากผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอ้วนกำลัวพูดจาเหยียดหยามคนอื่นด้วยน้ำเสียงแหลมสูงและวางท่าทางว่าตนเองเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว ภายในห้องแห่งนี้ยังมีผู้หญิงรูปร่างผอมบางที่ดูเหมือนว่าจะอยู่ในวัยกลางคนอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
ผู้หญิงคนนี้กำลังยืนร้องไห้ แล้วเอาตัวขวางทางของผู้หญิงที่มีรูปร่างอวบอ้วนคนนั้น เธอกำลังพยายามพูดจาขอร้องให้ผู้หญิงร่างอวบอ้วนคนนั้นหยุดพูดทำร้ายจิตใจอาเมิ่งผู้เป็นบุตรสาวเสียที และเค้นเสียงพูดโต้เถียงเพื่อไล่คนให้ออกไปจากห้องนี้
“พี่สะใภ้ใหญ่ฉันขอร้องพี่ให้หยุดพูดก่อน ลูกสาวของฉันเพิ่งจะฟื้นไข้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ จึงสมควรจะต้องได้นอนพักผ่อนต่อให้ดี อาเมิ่งเป็นเพียงเด็กสาวที่มีร่างกายอ่อนแอมากคนหนึ่ง เรื่องทุกอย่างพี่สะใภ้ใหญ่ก็น่าจะรู้ดีว่ามีคุณแม่เป็นคนจัดการ และเป็นคนที่จะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ของทุกคนในบ้านสกุลเถียน เพราะพวกเราล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งของคุณแม่”
“หึ! สะใภ้รอง ทุกคนต่างรู้ดีว่าแม่ลำเอียงรักใคร่แค่เพียงคนในบ้านรองของพวกแกเท่านั้น ถ้าหากฉันนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับแม่ มีหรือที่ท่านจะยินยอมเปลี่ยนตัวให้เสี่ยวเจินของฉันได้แต่งงานไปยังสกุลจ้าวแทนอาเมิ่ง แต่ถ้าหากใช้ให้ยัยเด็กคนนี้เป็นคนไปพูดขอร้องแม่ ว่ามันยังไม่อยากแต่งงาน แม่จะต้องยอมทำตามคำขอร้องของหลานสาวคนโปรดอย่างแน่นอน”
“พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องการหมั้นหมายของอาเมิ่งกับลูกชายคนเดียวของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นการพูดคุยตกลงกันของคุณแม่และภรรยาของท่านหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อห้าปีที่แล้ว ในเวลานี้ภรรยาของจ้าวซุนอี้เสียชีวิตจากไปนานจนเกือบจะสามปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคำสัญญานั้นจะยังมีผลอยู่หรือไม่ เพราะคนจากไปนานแล้ว น้ำชาย่อมเย็นชืด…”
“เย็นชืดอะไร? เมื่อสามวันก่อนจ้าวซุนอี้ยังนำเรื่องนี้มาพูดคุยกับเจี้ยนกั๋วที่บ้านของพวกฉันอยู่เลยว่า ในอนาคตบ้านสกุลจ้าวกับบ้านสกุลเถียนจะเป็นญาติเกี่ยวดองกัน เพราะลูกชายคนเดียวของเขา จ้าวเหิงได้หมั้นหมายกับเถียนจิวเมิ่ง ลูกสาวจากบ้านรองของพวกแกไปแล้ว เรื่องนี้ฉันได้ยินมากับหู สะใภ้รองยังจะกล้าพูดจาบ่ายเบี่ยงอยู่อีกหรือ”
“ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม่คะ เสี่ยวเจินจึงบุกมาหาเรื่องทะเลาะกับอาเมิ่ง แล้วพลั้งมือผลักอาเมิ่งตกลงไปในแม่น้ำจิ่ง ดีนะที่ในวันนั้นจ้าวเหิงผ่านทางมาพอดี เขาจึงได้ช่วยเหลืออาเมิ่งขึ้นมาจากน้ำได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นในวันนี้พวกเราคงจะต้องทำพิธีฝังศพของอาเมิ่งไปแล้ว”
“หึ คนยังไม่ตาย น้องสะใภ้อย่าได้พูดจาตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เสี่ยวเจินของฉันแค่พูดคุยกับอาเมิ่งตามประสาพี่สาวกับน้องสาวเท่านั้น ลูกสาวคนดีของน้องสะใภ้อ่อนแอเป็นลมหมดสติตกลงไปในแม่น้ำจิ่งด้วยตนเอง ดังนั้นอย่าได้ปากพล่อยมาพูดจาใส่ร้ายลูกสาวของฉันเป็นอันขาด”
“ถึงแม้ว่าอาเมิ่งจะไม่ตาย แต่ก็เกือบจะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ในวันนี้อาเมิ่งเพิ่งจะมีอาการดีขึ้น พี่สะใภ้ใหญ่ยังมาอาละวาดที่นี่อีก เป็นเพราะพี่สะใภ้ใหญ่มองเห็นว่าพวกเราสองคนแม่ลูกเป็นคนอ่อนแอจึงมารังแกบีบคั้นกันแบบนี้ใช่ไหมคะ แต่ในวันนี้น้องสะใภ้อย่างฉันจะไม่ยอมทนอีกต่อไปแล้ว”
ผู้หญิงที่มีร่างกายอวบอ้วนคนนั้น ยืนใช้มือสองข้างเท้าเอวแล้วเงยหน้าหัวเราะร่าด้วยน้ำเสียงดังลั่นว่า
“ฮ่าๆ หานชุยเหยี่ยน คนผอมบางขี้โรคอย่างแกคิดจะมาต่อสู้กับฉันอย่างนั้นหรือ ได้! ฉันจะตอบสนองให้เอง”
เมื่อพูดจบผู้หญิงอวบอ้วนก็ผลักผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบางล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นในทันที แล้วนางยังถลกกระโปรงตัวเก่าขึ้นสูงเพื่อก้าวขาไปยืนคร่อมร่างบางโน้มตัวลงหงายฝ่ามือขึ้นแล้วเหวี่ยงตบไปที่ใบหน้าของคนร่างผอมบางอีกหลายครั้ง
ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ถึงตัวจะเล็กและผอมบางกว่า แต่เธอก็ใช้แขนป้องกันฝ่ามือของหญิงอ้วนผู้นั้นแล้วกางเล็บยื่นมือออกไปข่วนใบหน้าของอีกฝ่ายจนมีริ้วรอยถลอกขึ้นเป็นแนวยาวพาดผ่านบนใบหน้าอวบอ้วนของผู้หญิงคนนั้นในทันที
เสียงกรีดร้อง เสียงด่าทอ เสียงต่อสู้กันดังชุลมุนวุ่นวายเต็มห้องไปหมด
“กรี๊ด~หานชุ่ยเหยี่ยน นี่แกกล้าทำให้ใบหน้าของฉันเป็นแผล วันนี้ฉันจะต้องตบสั่งสอนแกให้ตาย!”
“โจวเหม่ยฟาง วันนี้ฉันก็จะขอสู้ตายกับเธอ เพราะฉันอดทนต่อความร้ายกาจของเธอมานานแล้ว!”
เถียนจิวเมิ่งรีบหันไปหน้ามองสตรีร่างบางด้วยความเป็นห่วง และจับใจความฟังได้ว่าผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบางสวมใส่ชุดกลางเก่ากลางใหม่คนนี้มีชื่อว่าหานชุยเหยี่ยน ส่วนผู้หญิงตัวอวบอ้วนในชุดเก่าสกปรกคนนั้นมีชื่อว่าโจวเหม่ยฟาง
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือหานชุยเหยียนคนนี้มีสถานะเป็นแม่ของเธอ…
“หยุ๊ด~ พวกหล่อนสองคนหยุดลงมือตบตีกันได้แล้ว ฉันบอกว่าให้หยุด!”
ในช่วงชุลมุนนี้มีผู้หญิงสูงวัยมากกว่าผู้หญิงอีกสองคนรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องนี้ด้วยฝีเท้าว่องไว เสียงของผู้หญิงในวัยประมาณห้าสิบกว่าปีคนนี้ดังยิ่งกว่าใคร จนทำให้ผู้หญิงอีกสองคนที่กำลังนัวเนียตบตีกันอยู่บนพื้นต่างหยุดนิ่งชะงัก แล้วรีบผงะถอยห่างออกจากกันเพราะเชื่อฟังคำพูดของผู้หญิงที่มาใหม่คนนี้
“เมียของเจ้าใหญ่ แกช่างกล้าหาญยิ่งนักที่มาลงมือตบตีคนถึงที่นี่ ในเมื่อหล่อนไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพี่น้อง ฉันก็จะสั่งให้เจ้าใหญ่หย่าขาดกับหล่อน แล้วส่งตัวหล่อนคืนให้แก่บ้านสกุลโจว”
“แม่! สะใภ้รองก็ตบตีฉันเช่นกัน ทำไมแม่จึงพูดด่าว่าฉันแค่เพียงคนเดียว แม่ลำเอียงเข้าข้างสะใภ้รองมากเกินไปแล้ว”
“นี่หล่อนยังจะกล้าใช้ปากเน่าๆ ของตัวเองมาพูดเถียงกับฉันอยู่อีกอย่างนั้นหรือ เมียเจ้ารองมีนิสัยเป็นอย่างไร แล้วหล่อนมีนิสัยเป็นอย่างไรมีหรือที่แม่สามีอย่างฉันจะไม่รู้”
“คุณแม่คะ เวลาอาเมิ่งฟื้นแล้วค่ะ แต่สีหน้าของแกย่ำแย่มาก”
“จริงหรือ ยัยหนูเมิ่งของฉันฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ ไหนๆ ฉันขอไปดูยัยหนูเมิ่งก่อน”
หญิงสูงวัยรีบเดินมาก้มหน้ามองสบตากับเถียนจิวเมิ่งแล้วพูดเสียงกังว่า “เมียเจ้ารองรีบไปตามคนที่สหกรณ์ในหมู่บ้านมา บอกว่าบ้านของพวกเราอยากจะขอยืมรถไถสักคัน ฉันอยากจะพายัยหนูเมิ่งไปหาหมอที่โรงพยาบาลในอำเภออีกรอบ”
“แม่! คิดจะพายัยตัวขาดทุนคนนี้ไปหาหมออีกแล้วหรือ หลานสาวของแม่คนนี้กินยาทีไร บ้านของพวกเราแทบจะหมดธัญพืชไปหลายกระสอบ แม่ไม่ได้มีเถียนจิวเมิ่งเป็นหลานเพียงคนเดียวนะ แม่ลำเอียงมากเกินไปแล้ว”
เถียนจิวเมิ่งเห็นว่าผู้หญิงอวบอ้วนที่มีชื่อว่าโจวเหม่ยฟางคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม แต่ผู้หญิงผอมบางที่มีชื่อว่าหานชุยเหยี่ยนเผยรอยยิ้มดีใจออกมาบนใบหน้า ก่อนจะรีบวิ่งหายออกไปจากห้องนี้อย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงสูงวัยที่เพิ่งมาใหม่ ไม่สนใจฟังคำพูดของโจวเหม่ยฟางแม้แต่น้อย เธอสนใจเพียงเถียนจิวเมิ่งที่นอนลืมตามองทุกคนอยู่บนเตียงเท่านั้น แล้วยื่นฝ่ามือที่แสนจะหยาบกระด้างเพราะการทำงานหนักมาลูบไล้ใบหน้าลูบหัวลูบตัวของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ยัยหนูเมิ่งของย่าไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวย่าจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นยัยหนูก็จะหายป่วยแล้ว”
เมื่อได้รับการสัมผัสและได้ฟังเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เถียนจิวเมิ่งพลันรู้สึกบีบคั้นหัวใจ จนน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาอย่างไร้สาเหตุ
คุณย่าเถียนรีบนั่งลงบนเตียงเพื่อช่วยเช็ดน้ำตาให้แก่หลานสาวด้วยท่าทางรักใคร่ ปากก็พูดว่า
“ไม่ต้องร้องๆ มีย่าอยู่กับยัยหนูที่นี่อีกทั้งคน ใครก็ทำอะไรอาเมิ่งของย่าไม่ได้ ยัยหนูอย่าไปฟังคำพูดจากป้าสะใภ้ใหญ่ เจ้าหล่อนมีนิสัยเสีย ปากก็เน่าเสีย”
“แม่~”
โจวเหม่ยฟางส่งเสียงประท้วง แต่เมื่อได้รับสายตาดุดันมองตอบกลับมาจึงรีบเงียบเสียงลง เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกแม่ของสามีส่งตัวกลับบ้านเดิมตามคำขู่ เพราะเธอรู้ดีว่าแม่ของสามีเป็นคนที่เมื่อกล้าพูด ก็กล้าลงมือทำ
หลังจากนั้นเถียนจิวเมิ่งก็ถูกป้อนน้ำข้าว ถูกจับใส่เสื้อคลุมตัวหนา ยังมีผ้าห่มผืนหนาห่อหุ้มตัวเธออย่างแน่นหนาอีกรอบ ใช้เวลาอยู่นานพักใหญ่กว่าที่หานชุยเหยียนจะพาผู้หญิงแปลกหน้าอีกสองคนเดินตามเข้ามาภายในห้องพักแห่งนี้พร้อมกับรถเข็นไม้
ผู้หญิงแปลกหน้าพวกนี้ช่วยกันพาเธอย้ายจากเตียงมานั่งลงในรถเข็นไม้ แล้วช่วยกันเข็นพาเธอออกมาจากบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ที่มีหลังคามุงกระเบื้อง ทุกอย่างรอบด้านล้วนแต่ดูแปลกตาไปหมด
ตลอดเวลาเถียนจิวเมิ่งไม่ได้พูดอะไรกับใครแม้แต่คำเดียว เพราะรู้สึกแปลกถิ่นและภาษาของคนที่นี่ก็ไม่ใช่ภาษาปกติที่ตัวเธอใช้อยู่เป็นประจำ จึงทำแค่เพียงใช้หูฟังคนอื่นพูดคุย แล้วใช้ตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายแทน
อากาศด้านนอกหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ทิวทัศน์รอบด้านมีบ้านดินหลายหลังตั้งเรียงรายอยู่ไกลห่างออกไป เธอมองเห็นแปลงผักมากมายหลายแปลง มีพื้นที่รอบตัวบ้าน และมีรั้วต้นไม้สีเขียวบนคันดินแบ่งเขตบริเวณบ้านที่อยู่ติดกัน
เมื่อเถียนจิวเมิ่งมองไปไกลสุดสายตาสามารถมองเห็นภูเขาขนาดใหญ่อยู่ทางด้านหลังบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ที่เธอเพิ่งจะถูกเข็นออกมา ยังมีต้นไม้ใหญ่เขียวขจีขึ้นค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งจะหาต้นไม้แบบนี้ไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่ตนเองเคยอยู่อาศัยมาก่อน
ถึงแม้ว่าเถียนจิวเมิ่งจะไม่ได้พูดอะไรกับใคร แต่ก็พอจะฟังออกแล้วสรุปในใจได้ว่า สถานที่แห่งนี้ทุกคนเรียกขานกันว่าหมู่บ้านชิงซาน…
