บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ประสบอุบัติเหตุ

ปี คศ.2024

เถียนจิวเมิ่งเพิ่งจะบินลัดฟ้ากลับมาเยือนยังแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาผู้ให้กำเนิดเธอเป็นครั้งแรกในรอบเวลาเจ็ดปี หลังจากที่เธอต้องย้ายไปอยู่กับมารดาที่เมืองไทยตั้งแต่อายุสิบขวบ โดนสาเหตุมาจากคนทั้งคู่ตกลงหย่าร้างกัน ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่

เถียนจิวเมิ่ง หรือที่คุณตาและคุณยายของเธอมักจะเรียกเธอว่าน้องเหมือนฝัน ในเวลานี้กำลังยืนก้มหน้ากดโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับผู้เป็นบิดา เพื่อบอกให้เขารู้ว่าตัวเธอได้เดินทางมาถึงสนามบินเมืองSแล้ว และกำลังจะนั่งรถเพื่อเดินทางไปพักผ่อนที่โรงแรม ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน

เถียนจิวเมิ่งยืนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนของเมือง S ผ่านกระจกใสของอาคารผู้โดยสารขาเข้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง ในมือกำลังถือโทรศัพท์แนบหูเพื่อสนทนากับคนที่เธอเรียว่า “คุณพ่อ” อยู่ทางปลายสาย

เมื่อบทสนทนาที่เธอกำลังพูดคุยด้วยน้ำเสียงห่างเหินจบลง เถียนจิวเมิ่งจึงกดวางโทรศัพท์แล้วกดเข้าแอปพลิเคชันสีเขียว เพื่อกดส่งโลเคชั่นโรงแรมที่ตนได้จองเอาไว้ล่วงหน้าให้แก่อีกฝ่าย สำหรับใช้บอกทางให้คุณพ่อขับรถมารับเธอในวันพรุ่งนี้

เถียนจิวเมิ่งอยู่ในชุดเสื้อแขนกระบอกสีขาวสวมใส่กระโปรงสีดำ เนื่องจากเธอกำลังอยู่ในช่วงการไว้ทุกข์ของคุณตาคุณยายของเธอที่เมืองไทย เธอเพิ่งจะผ่านการสูญเสียบุคคลที่เธอรักมากทั้งคู่ไปพร้อมกันเมื่อสิบวันที่แล้ว ดังนั้นสีหน้าของเธอจึงดูหม่นหมองไร้ความสุขเป็นอย่างยิ่ง

เถียนจิวเมิ่งเดินมาขึ้นรถยนต์ที่ทางโรงแรมส่งมารับที่สนามบิน ก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก เพราะอากาศภายในรถอบอุ่นมากกว่าอากาศข้างนอกที่หนาวเย็นค่อนข้างมาก อาจจะเป็นเพราะเธอรู้สึกเคยชินกับอากาศร้อนของเมืองไทย จึงรู้สึกว่าแทบจะทนต่ออากาศหนาวเย็นในเมืองS แห่งนี้ไม่ไหว

เมื่อได้ขึ้นมานั่งบนรถยนต์ของโรงแรมแล้ว คนขับรถพูดคุยแนะนำตนเองและบอกเธอเรื่องเวลาที่จะถึงจุดหมายปลายทางตามหน้าที่ของเขา หลังจากนั้นเขาก็เปิดเพลงสากลภายในรถเสียงแผ่วเบา เพื่อให้ลูกค้าที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง ได้นั่งฟังเพลงเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

เถียนจิวเมิ่งเอนตัวพิงเบาะรถแล้วนอนหลับตาลง มือข้างขวาหยิบสร้อยประคำหยกที่เธอชอบพกติดตัวเป็นประจำนำออกมาคลึงเล่นตามความเคยชิน หยกสีเขียวเม็ดกลมขนาดเล็กถูกร้อยเรียงเป็นเส้นยาว ความเย็นของหยกทำให้เถียนจิวเมิ่งที่กำลังใช้อุ้งมือและปลายนิ้วสัมผัสรู้สึกผ่อนคล้ายจนแทบจะเคลิ้มหลับ แต่แล้วรถที่เธอกำลังนั่งอยู่กลับมีแสงไฟสาดส่องมาจากรถคันใหญ่อีกคัน

รถคันนั้นคล้ายเสียหลักพุ่งมาชนรถของโรงแรมทางด้านที่เธอกำลังนั่งอยู่พอดี ในความมึนงงเพราะกำลังใกล้จะเคลิ้มหลับอยู่นั้น เถียนจิวเมิ่งมองเห็นแสงไฟสาดแสงจ้ามาที่ตัวเธอแบบพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าตนเองถูกกระแทกชนอย่างรุนแรงจนตัวเธอกระเด็นตัวลอยไปติดประตูรถอีกด้าน หลังจากนั้นก็รู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ก่อนที่จะหมดความรู้สึก สติดับวูบเหลือเพียงความมืดมิดที่ว่างเปล่าเท่านั้น…

เสียงรอบกายสงบเงียบเถียนจิวเมิ่งคล้ายกำลังฝันว่าตัวเธอกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่แสนว่างเปล่า มองไม่เห็นถนน และไม่สามารถก้มมองดูเห็นเท้าของตนเองได้ด้วยซ้ำไป

เธอไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปที่ไหน รู้แค่เพียงว่าในเวลานี้ เธอไม่อยากจะหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ในความมืดที่มีอากาศเย็นเฉียบรอบกายแบบนี้…

……ผ่านเวลามาเนิ่นนานท่ามกลางความมืดมิดที่แสนเย็นยะเยือก เถียนจิวเมิ่งรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกเขย่าปลุกอย่างรุนแรง มีเสียงคนพูดจาด่าทอกันอย่างดุเดือด ด้วยภาษาที่ตัวเธอฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย ไม่ชินหูสักเท่าไหร่ แต่พอจะฟังเข้าใจได้ว่า

“ยัยกุ้งแห้งขี้โรคนี่นะหรือ ที่พวกเธอคิดจะส่งไปแต่งงานกับลูกชายของจ้าวซุนอี้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านชิงซาน ทางนั้นมีลูกชายเป็นถึงนายทหารหนุ่มหน้าตาดี ฉันได้ยินมาว่าเขามีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าหน่วยของกองพัน แต่แกจะส่งลูกสาวที่ผอมแห้งจนดูอัปลักษณ์แบบนี้ไปแต่งงาน ไม่คู่ควรกันแบบนี้ คนอื่นมีหรือจะยอมตอบตกลงและเห็นด้วยกับความคิดของพวกเธอ”

เสียงแหลมเสียดแทงแก้วหูของสตรีผู้หนึ่ง ทำให้เถียนจิวเมิ่งรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นจากความฝันที่แสนยาวนาน เธอพยายามลืมตาแล้วหันไปมองหาต้นตอของเสียงอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองเห็นสตรีอวบอ้วนคนหนึ่งกำลังชี้นิ้วมาที่ตนเอง แล้วก้มลงมาพูดใส่หน้าตนด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

ท่าทางที่แสนจะไร้มารยาทแบบนี้ การแต่งกายที่ดูทรุดโทรมและสกปรกขนาดนี้ ทำให้เถียนจิวเมิ่งที่กำลังนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกรังเกียจ

ตั้งแต่เล็กจนโตเถียนจิวเมิ่งก็มีร่างกายอวบอ้วนมาโดยตลอด มีบางครั้งในช่วงที่เธอปล่อยตัวกินทุกอย่างตามใจตนเอง เคยมีคนแอบเรียกขานตัวเธอลับหลังว่าเป็นอีอ้วนด้วยซ้ำไป แต่ไม่เคยมีใครสักคนที่มาเรียกขานเธอว่าเป็นยัยกุ้งแห้งมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว

เถียนจิวเมิ่งขยับตัวอย่างยากลำบาก แล้วจึงฝืนตนเองพูดจาโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบแห้งไปว่า

“คุณกำลังพูดอะไร แล้วคุณเป็นใคร ทำไมมาเรียกฉันอย่างหยาบคายแบบนี้”

“ตายแล้ว…คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา…คนยังไม่ทันได้แต่งงานเป็นเมียนายทหาร ยัยตัวขาดทุนอย่างอาเมิ่งก็ใจกล้า เปลี่ยนคำพูดคำจาราวกับว่าได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเสียแล้ว คุณนายทหารในอนาคตอย่างนั้นหรือ อาเมิ่ง!แกอย่าได้ฝันหวานคิดอะไรเกินตัวไปหน่อยเลย ตัวแกช่วยลากสังขานที่น่าสมเพชนี้ลุกขึ้นเดินไปที่ตรงนั้น แล้วหันไปส่องกระจกเงามองดูสารรูปของตัวเองเสียบ้าง จะได้ไม่ต้องคิดเพ้อฝันไปไกลเกินตัว”

นี่คือบทสนทนาแรกนับจากที่เถียนจิวเมิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากการป่วยหนัก และทำให้เถียนจิวเมิ่งรับรู้ความจริงว่า ตนเองไม่ใช่เถียนจิวเมิ่งคนเดิมอีกต่อไป แต่กลายเป็นใครอีกคนที่เธอไม่รู้จัก สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่เมืองS เมืองที่เธอเพิ่งจะลงจากเครื่องบินก่อนจะประสบอุบัติเหตุด้วยซ้ำไป…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel