บทที่ 4 ลมหายใจแผ่วแห่งราตรีกาล (2/2)
ซ่งซูหลานอุ้มหยางเชาไปส่งด้านใน จากนั้นจึงออกมาสนทนากับลี่ถัง
"แม่บ้านลี่"
"เจ้าคะ"
"ป่าไผ่แห่งนี้มีเจ้าของหรือไม่"
ลี่ถังกะพริบตาถี่ "เดิมทีก็ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ทว่าไม่นานมานี้นายท่านกว้านซื้อพื้นที่บริเวณนี้ไว้หมดแล้ว ป่าไผ่รกร้างพวกนั้นไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ก็คงนับว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของนายท่านด้วยกระมัง เอ่อ...ว่าแต่ คุณหนูลืมหรือเจ้าคะ"
ซ่งซูหลานส่งยิ้มฝืดฝืน "เปล่า ๆ ข้าถามดูเฉย ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไหน ๆ ต้นไผ่พวกนั้นก็มีมากโข ข้าตัดมาใช้งานสักต้นสองต้นคงไม่เสียหายกระมัง"
"ย่อมได้แน่นอน ว่าแต่คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ"
คิ้วสวยยึกยักขึ้นลงสองสามครา ลี่ถังถึงกับยกมือขึ้นทาบอก "คุณหนู ท่านเป็นสตรีไยทำท่าทางเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ไม่งามเอาเสียเลย"
ซ่งซูหลานขำพรืด "โถแม่บ้านลี่ หัวโบราณนัก"
"หา...ก็..."
"เอาล่ะ ๆ ต่อไปไม่ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว พอใจหรือยัง"
ลี่ถังตอบรับเสียงค่อย "เจ้าค่ะ หากท่านทำกิริยาเมื่อครู่ แล้วอยู่ ๆ นายท่านเรียกตัวกลับ นิสัยม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ ข้าต้องหลังลายเป็นแน่"
"แหม ที่แท้ก็กลัวหลังลาย จากที่ข้ารู้มาบิดาของข้าเกลียดข้าจะตายไป ชาตินี้ข้าคงไม่ได้กลับไปตระกูลซ่งนั่นอีกแล้วล่ะ ท่านว่าหรือไม่"
ลี่ถังหลุบตาลง เกรงว่าคงเป็นเช่นที่นางเอ่ยมาจริง ๆ ตอนนี้ที่เรือนใหญ่ในเมืองหลวง ล้วนอยู่ใต้อาณัติของฮูหยินรอง นางเป็นคนยุยงให้ซ่งหยวนหมิงส่งซ่งซูหลานมาตั้งแต่แบเบาะ นอกจากไม่เคยดูดำดูดีแล้ว ข่าวคราวก็ไม่ถามไถ่จากนางสักคำ มีเพียงนางที่ส่งเรื่องรายงานทว่าไม่ได้รับการตอบกลับใด ซ่งหยวนหมิงคงลืมไปแล้วกระมังว่าตนก็มีเรือนอยู่ยังพื้นที่รกร้างห่างไกลเช่นเดียวกัน หากซ่งซูหลานต้องจากโลกใบนี้ไปจริงก็คงนับว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่ของตระกูลซ่ง คิดแล้วนางช่างเป็นคุณหนูที่น่าเวทนายิ่ง
"ช่างเถอะ อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังอุตส่าห์ให้เรือนหลังนี้ได้พักอาศัย เช่นนั้นนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เราก็มาจัดแต่งเรือนให้น่าอยู่เถิดนะ อีกอย่างน้ำไม่ต้องไปตักแล้วล่ะ ส่วนเงินข้ามีวิธีแล้ว ต่อไปไม่ต้องอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ"
ลี่ถังช้อนตาขึ้นมองด้วยความฉงน "ทำไมหรือเจ้าคะ หากเราไม่ไปตักน้ำที่ลำธาร แล้วจะมีน้ำกินน้ำใช้ได้อย่างไร"
"เอาน่า ไว้ข้าจะทำบางอย่างให้ดู รับรองว่าเรือนซอมซ่อหลังนี้จะต้องน่าอยู่มากขึ้นอีกหลายขุม" ซ่งซูหลานยกมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่ายด้วยความแผ่วเบา
.
.
ยามค่ำคืนแสนเงียบสงัด เสียงกีบเท้าม้าห้อทะยานผ่านม่านรัตติกาลด้วยท่าทีเร่งร้อน บุรุษร่างสูงโปร่งกำยำกำลังควบม้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงหายใจหอบเหนื่อยทั้งคนทั้งม้าดังสะท้อนก้องแข่งกันระงม เขากำลังมุ่งหน้าเข้าใกล้ริมลำธารในป่าไผ่รกร้าง เบื้องหลังมีกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบประกบติดไล่ล่าอยู่ไม่ห่าง บ้างขว้างหอกง้างธนูกันให้จ้าละหวั่น
เขาต้องคอยเบี่ยงกายบังคับบังเหียนเพื่อหลบคมหอกห่าธนูที่ถูกส่งออกมาไม่ว่างเว้น บนอกด้านซ้ายของเขามีลูกเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งปักคาเอาไว้ โลหิตสีแดงฉานไหลนองแทบหมดตัว ดูเหมือนม้าศึกสีดำเลื่อมใกล้หมดแรงแล้ว หลังจากที่เขาเร่งตะบี้ตะบันควบขี่มันทั้งคืน เท้าหน้าของม้าพับลงฉับและสิ้นลม ร่างกำยำชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมา จากนั้นกลุ่มบุรุษชุดดำก็ดาหน้าเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง
"รัชทายาท จะหนีไปที่ใดหรือ... ยอมจำนนเสียเถิด ท่านไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว" เสียงทุ้มหัวเราะร่วนประสานกันสะท้อนก้อง บรรยากาศที่เย็นอยู่แล้วก็ยิ่งหนาวยะเยือกเข้าไปใหญ่
"เหอะ!...มั่นใจเหลือเกิน หากจะสังหารข้าก็ช่วยทำให้ตายด้วยเล่า ไม่เช่นนั้นหากข้ารอดไปได้เมื่อใด พวกเจ้าอย่าได้หวังจะมีศีรษะตั้งวางบนบ่า"
"บุรุษสูงศักดิ์เช่นท่านโอหังทุกคนหรือไม่ คิดว่าพวกข้ากลัวคำขู่ขวัญของคนใกล้ตายงั้นรึ"
ชายร่างกำยำกระโจนลงจากหลังม้าด้วยท่าทีกราดเกรี้ยว ใบหน้าของเขาปกปิดด้วยผ้าสีดำผืนหนา จึงเห็นเพียงดวงตาขาวดำที่สาดสะท้อนความอำมหิต เท้าขนาดใหญ่ย้ำลงบนอกแกร่ง ชายหนุ่มที่นอนบาดเจ็บหายใจพะงาบ ๆ พลันกระอักโลหิตคำโต
อั๊ก!
"ท่านไม่ทราบหรือ เพียงข้าปักกระบี่ลงบนอกของท่านหนเดียว ก็สามารถส่งท่านไปเยือนปรโลกได้แล้ว"
"เหอะ! เช่นนั้นรึ" เสียงทุ้มเปล่งวาจากะพร่องกะแพร่ง เขาลอบกำเศษธุลีไว้ในมือ พลันใช้แรงเฮือกสุดท้ายซัดเข้าหน้าอีกฝ่าย
"โอ๊ย!"
อีกฝ่ายตกใจชักเท้ากลับ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจดันร่างอันไร้พละกำลังกลิ้งลงพื้นที่ราบอย่างไม่คิดลังเล
"บัดซบ!!"
ชายชุดดำนับสิบต่างกรูเข้ามา กลับไม่ทันการณ์เสียแล้ว
"นะ...นี่มันเหว"
"ไม่ต้องตามแล้ว บาดเจ็บเพียงนั้น อีกหน่อยก็ตาย สัตว์ป่าแถวนี้ชุกชุม เลือดท่วมตัวเพียงนั้นหากรอดไปได้ก็คงไม่ใช่คน กลับ!"
"แต่..." ชายอีกคนตั้งท่าคัดค้าน ทว่าเขาถูกผู้เป็นหัวหน้าค้อนควัก
ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากต่อ พวกเขาก็ต่างทยอยกลับไปยังม้าของตน จากนั้นควบทะยานกลับไปทิศเดิม
บุรุษร่างสูงยังกลิ้งหลุน ๆ ท่ามกลางความอนธการจนเลือดลมตีกันอลหม่านไปหมด หรือเขาอาจไม่รอดชีวิตแล้ว บาดแผลที่ได้รับสาหัสสากรรจ์เหลือคณา สุดท้ายร่างกำยำก็มาติดที่ไผ่กอหนึ่ง ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น...สติชายหนุ่มค่อย ๆ มืดดับลงเชื่องช้า
