บทที่ 4 ลมหายใจแผ่วแห่งราตรีกาล (1/2)
"แม่บ้านลี่เราต้องไปตักน้ำเช่นนี้ตลอดเลยหรือ" ซ่งซูหลานเอ่ยถาม เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะ พวกนางกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวซึ่งตักน้ำมาเกินครึ่งเพื่อเติมให้เต็มอ่างของที่บ้านในทุก ๆ วัน หนำซ้ำระยะทางก็สุดแสนทรหด
"เจ้าค่ะ...คุณหนู หากท่านไม่ไหวก็ไปพักเถิด ที่เหลือข้าทำเอง"
นับตั้งแต่พวกนางได้เปิดใจคุยกันครั้งแรก นิสัยและอารมณ์ของลี่ถังก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือราวแผ่นฟ้าพลิกกลับ
"เอ่อ...ไม่ดีกว่า ไหน ๆ ก็อาศัยชายคาเดียวกันอยู่ จะให้ท่านทำคนเดียวได้อย่างไร" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม
ความรู้สึกกระดากอายพลันโหมกระหน่ำเข้ามากระทบจิตใจของลี่ถังดุจเกลียวคลื่น นางเคี่ยวเข็ญซ่งซูหลานให้โหมงานอย่างหนักมาโดยตลอด แม้แต่ความห่วงใยก็ยังมิเคยปริปากถามไถ่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดีแต่พูดจากระทบกระเทียบอีกทั้งยังให้นางกินอาหารคุณภาพต่ำ อยู่ห้องแสนอับชื้นขณะที่บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต
ทว่าลี่ถังจำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หาไม่แล้วหากฮูหยินรองจับได้ขึ้นมา เงินสักอีแปะนางก็คงไม่ได้รับแน่แท้ ยามนี้ลี่ถังมิสนใจแล้ว ต่อให้ต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม นางจะไม่ยินยอมกลับไปเป็นพวกไร้มโนธรรมนั่นอีกเป็นอันขาด นางเลี้ยงดูซ่งซูหลานมากับมือ มีหรือจะแสร้งใจจืดใจดำได้ตลอด ทุกอย่างเป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ปกป้องตนเองก็เท่านั้น
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไปพักเถิด"
ซ่งซูหลานส่ายหน้า "ข้าจะช่วย"
ลี่ถังไม่อาจขัดน้ำใจอีกฝ่าย พวกนางจึงช่วยกันแบกถังไม้เทียวไปเทียวมานับสิบรอบ และแล้วก็ได้ปริมาณน้ำที่เพียงพอ หยางเชาวิ่งเตาะแตะเข้ามาพร้อมถ้วยชาในมือ
"พี่ฉาว ท่านแม่ พวกท่านดื่มน้ำก่อนเถิด คงเหนื่อยแย่เลยใช่หรือไม่ขอรับ หากหยางเชาโตเมื่อไหร่จะทำเรื่องพวกนี้เอง"
ลี่ถังรับไว้จากนั้นเดินไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนเอกเขนกอยู่ในเปล
ซ่งซูหลานคลี่ยิ้มอบอุ่น "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด หยางเชาช่างรู้จักคิดและเป็นเด็กกตัญญูยิ่ง ทว่าพวกข้าได้ทำแบบนี้บ่อย ๆ ก็ดีเช่นกัน เหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว ยามปกติข้ามักนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อยู่ห้องแล็บเพื่อทดลองจนพุงย้วยสวมแว่นหนาเตอะ ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตแบบธรรมชาติและอบอุ่นเช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว"
"ข้าดีใจที่เห็นท่านแม่คุยกับพี่ฉาวแบบเฉียงเบาได้แล้ว ยามปกติข้ามักเห็นท่านแม่ขึ้นเฉียงกับท่าน จากนั้นก็ลามมาถึงข้า ราวกับนางยักษ์" หยางเชาทำท่าแยกเขี้ยว
ซ่งซูหลานหัวเราะขัน นางยกกายเด็กน้อยขึ้นนั่งบนตักพลางเขี่ยปลายจมูกเล็ก ๆ เล่นด้วยความเอ็นดู "นี่แน่ะ เจ้าเด็กแสบ จุ๊ ๆ ไว้"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นจุ๊ปากตามที่ซ่งซูหลานทำ พลางเอียงคอมองด้วยความฉงน "จุ๊แบบนี้หมายถึงอันใดขอรับ"
"เงียบไว้อย่างไรเล่า ก่อนที่ท่านแม่ของเจ้าจะกลับมาแยกเขี้ยวจริง ๆ"
หยางเชาทำท่าขนลุกเกรียว พลางยกมือขึ้นปิดหน้า "ฮื่อ...ไม่เอาขอรับ เป็นเช่นนี้ข้ามีความฉุกที่ฉุดแล้ว ต่อไปหากหยางเชาเติบโตจะต้องช่วยงานพี่ฉาวได้แน่ ๆ"
"เอาสิ ข้าจะรอวันที่เจ้าโตทันข้านะ เพียงแต่หากอาเชาโตแล้ว พี่สาวก็คงกลายเป็นยายแก่หงำเหงือก"
มือน้อย ๆ ยกขึ้นประคองใบหน้างามไว้ทั้งสองแขน "พี่ฉาวแก่ยังไงก็ฉวยเหมือนเดิม"
"ฮ่า ฮ่า ตัวแค่เนี่ยปากหวานจริงเชียว เอาไว้ฟันหน้างอกแล้วมาพูดใหม่นะ"
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ลี่ถังไม่เคยได้เห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ไยนางจำต้องทารุณเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงเพียงนั้นกันนะ
ลี่ถังนั่งให้นมหยางหยางลูกน้อยของตนไปพลาง สายตาก็เมียงมองภาพทั้งสองหัวเราะเริงร่าไปพลาง รอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงปรากฏขึ้น ซ่งซูหลานทันได้หันหน้ามาประสานสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ลี่ถังจึงหลุบตาลงด้วยความเก้อกระดาก
แม่บ้านลี่เดิมทีท่านเองก็จิตใจงามไม่น้อย ใครเสี้ยมให้ท่านต้องทำตัวแบบนี้กัน หรือว่าชีวิตของคุณหนูรองซ่งยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเล่า
ซ่งซูหลานครุ่นคิด นางละสายตาจากลี่ถังพลางมองนกมองไม้และบรรยากาศรอบด้านไปเรื่อย สายลมที่ปลิวไสวโบกสะบัดยามอาทิตย์อัสดงช่างงดงามยิ่ง ต้นไผ่สูงชะลูดเอนไหวล้อสายลมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดประสานกันดุจดั่งทำนองแสนเสนาะ นัยน์ตาดอกท้อหลับพริ้ม ฝ่ามือเรียวค่อย ๆ ตีเปาะแปะบริเวณบ่าเล็กของเด็กในอ้อมแขน หยางเชาถูกกล่อมพร้อมกับอากาศเย็นฉ่ำก็พลอยรู้สึกหนังตาหย่อนขึ้นฉับพลัน
ซ่งซูหลานร้องเพลงด้วยท่วงทำนองไพเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ตนมิได้ผ่อนคลายเช่นนี้ เด็กน้อยในอ้อมแขนเงียบเสียงลงแล้ว นัยน์ตาดอกท้อลดมองอีกฝ่าย รอยยิ้มละไมปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา
"อาเชา หลับแล้วหรือ พี่สาวร้องเพลงเพราะใช่หรือไม่" เสียงใสกระซิบแผ่ว
นางไม่ได้คาดหวังคำตอบแต่อย่างใด เพียงได้มองดูใบหน้าเล็ก ๆ หลับพริ้มอย่างมีความสุขก็เพียงพอ ยิ่งเป็นเช่นนี้ซ่งซูหลานก็ยิ่งคิดถึงโลกอีกด้านที่ตนจากมา นางเคยมีน้องชายเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายมีโอกาสเติบโตก็อาจมีนิสัยเฉกเช่นหยางเชา น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้น อย่างน้อย ๆ การทะลุมิติครั้งนี้ก็ดุจดั่งได้น้องชายกลับสู่อ้อมแขน ช่วยเติมเต็มชีวิตอันไร้ค่าให้สุขสมมากขึ้น
ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่ ๆ นางก็ตระหนักนึกบางอย่างขึ้นได้ "จริงสิ คิดออกแล้ว"
