บทที่ 3 ครอบครัวเดียวกัน (2/2)
"คุณหนู นี่ท่านคิดเช่นไรจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งกายเยี่ยงนี้"
ซ่งซูหลานช้อนตามองอีกฝ่าย ตะเกียบยกค้างกลางอากาศ นางเหลียวมองหน้าหยางเชาแวบหนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือปาดเศษอาหารที่เกาะขอบปากหยางเชาออก เด็กน้อยคลี่ยิ้มอวดเหงือกชมพู ลี่ถังมองท่าทีราวหูทวนลมของนางก็พลอยหงุดหงิด
"นะ...นี่ ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ"
"คุณแม่บ้าน จะเสียงดังทำไมคะ" ซ่งซูหลานถอนหายใจ นางวางตะเกียบในมือลง
ตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ห้องที่นางใช้หลับนอนก็ถูกเคาะเรียกเสียงดังสนั่น เมื่อตกตะกอนความคิดเรื่องที่หยางเชาเล่าให้ฟัง นางจึงพอทำใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว แม้ความจริงอาจยอมรับได้ยากว่าซ่งซูหลานนั้นข้ามมิติเข้ามายังอีกศตวรรษให้หลังจริง ๆ คิดเสียว่าบ้านหลังนี้ก็คือบ้านในอดีตของตนก็แล้วกัน
"พูดจาไม่รู้ความสักนิด กลับดึกกลับดื่นจนกลายเป็นคนวิปลาสเชียวรึ เสื้อผ้าก็ทิ้งเกลื่อนอยู่ริมลำธาร เหอะ!" ลี่ถังค้อนควัก
ซ่งซูหลานยิ้มเยาะ พลางยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอก "ผู้ใดกันแน่วิปลาส เอาล่ะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ"
ลี่ถังโมโหแทบประสาทเสีย "นะ...นี่ ๆ ไยท่านจึงปีกกล้าขาแข็งขึ้น เถียงคำไม่ตกฟาก"
"เหอะ...ประสาท ข้าพอเข้าใจอะไรบ้างแล้วล่ะ คุณหนูซ่งคนนี้คงถูกท่านรังแกจนหนีไปเที่ยวปรโลก เลยต้องเรียกให้ข้ามาจัดการคนเช่นท่านแทนเนี่ย"
"หา..." ลี่ถังอึ้งงัน นางดูแลคุณหนูผู้นี้มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย หากนางจะเถียงก็ใช่จะใช้วาจาฉอด ๆ เช่นนี้
"เอาล่ะ เดิมทีข้าเป็นคุณหนูของเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ แล้วท่านเป็นผู้ดูแล"
ลี่ถังกะพริบตาถี่ คิ้วของนางเริ่มเคลื่อนเข้าหากัน ภายในใจเต้นกระหน่ำ หากซ่งซูหลานผู้นี้เกิดขี่ม้าสามศอกไปฟ้องนายใหญ่ของตนขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไร แต่สิ่งที่นางทำไปก็เพราะคำสั่งของฮูหยินรองมิใช่หรือ ไยต้องเกรงกลัวกันเล่า
"ชะ...ใช่แล้วอย่างไร ท่านจะนอนงอมืองอเท้ารึ นายท่านและนายหญิงส่งท่านมาอยู่กับข้าก็เพื่อดัดนิสัย อีกทั้งยังช่วยลดข้อครหาที่ท่านเป็นตัวอัปมงคลของตระกูล ข้าเองคิดว่าตำบลเลี่ยงหลินที่เคยอุดมสมบูรณ์แร้นแค้นมาจวบจนบัดนี้คงเป็นเพราะท่านเช่นเดียวกัน"
ซ่งซูหลานปรบมือเปาะแปะ "ข้ารึ ข้าเป็นตัวอัปมงคล ท่านเอาที่ใดมาตัดสิน อีกอย่างเป็นคุณหนูก็ต้องงอมืองอเท้าเป็นธรรมดามิใช่หรือ"
"แต่ไม่ใช่กับสตรีไร้ค่าเช่นท่าน"
ซ่งซูหลานเหลืออด สตรีเช่นนางไร้ค่าอย่างไร คอยดูเอาเถิดจะเพิ่มมูลค่าของตนเสียจนไม่มีผู้ใดสามารถอาจเอื้อม นางยืดกายขึ้น พลางกวาดสายตาสำรวจตัวเรือนด้านใน จากนั้นวกดวงตากลับมายังลี่ถัง "หน้าที่ของท่านดูแลเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่"
"ข้าก็บอกท่านไปแล้วไม่ใช่รึ"
ซ่งซูหลานกระตุกยิ้ม "ดูแลอย่างไร เหตุใดจึงทรุดโทรมนัก ข้าว่านอกจากเงินเดือนของเจ้า ตระกูลซ่งก็คงมีค่าซ่อมบำรุงบ้านเข้ามาทุกปีกระมัง"
ลี่ถังหน้าเผือดสี ซ่งซูหลานไม่เคยเคลือบแคลงเรื่องนี้มาก่อน ลี่ถังได้รับค่าซ่อมบำรุงมาจริงแต่นั่นเพียงน้อยนิดเกรงว่าฮูหยินรองคงฮุบไว้เองถึงแปดส่วน เหลือมาถึงนางเพียงสองส่วนเท่านั้น ซ่งซูหลานเขม้นมองท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่าย นางจึงทราบได้ทันทีว่าตนคาดเดาได้ถูกทางแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยต่อ "ท่านคิดว่าหากท่านพ่อทราบเรื่องนี้..."
"นี่ท่าน! จะไปฟ้องนายท่านรึ ถึงอย่างไรนายท่านก็ส่งคุณหนูมาแต่ไม่เคยให้ค่าเลี้ยงดูข้าเพิ่มสักอีแปะ เช่นนี้แล้วค่าซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ จะนับเป็นอะไร อีกอย่างบิดาของท่านตัดหางปล่อยวัดท่านนานแล้วไม่รู้ตัวอีกรึ"
"อ้อ...อย่างนี้เองสินะ เช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งจดหมายถึงท่านพ่อ ขอค่าซ่อมบำรุงเพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่ และจะถามเขาเสียเลยว่าตัดหางของข้าปล่อยวัดได้จริงหรือ"
ลี่ถังกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ แขนขาเกิดอาการสั่นระริก กายของนางทรุดฮวบลงเดี๋ยวนั้น "คะ...คุณหนู...ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้เลย ถึงอย่างไรข้าก็เลี้ยงดูท่านตั้งแต่แบเบาะ อีกอย่างข้ามีลูกเล็กท่านเองก็ทราบ"
ซ่งซูหลานลดตามองเด็กน้อยทั้งสอง จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไป อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาในอ้อมแขน
"หม่ำ หม่ำ หม่ำ"
เด็กน้อยอ้อแอ้ ควานมือจับแก้มจับหน้าของนางสะเปะสะปะ
"พ่อเด็กเล่า"
ลี่ถังส่ายศีรษะ นางเป็นหญิงหม้ายที่ถูกสามีทอดทิ้ง เดิมทีนางสามารถหาเงินได้มากหน่อยเพราะคอยยักยอกเบี้ยน้อยหอยน้อยจากค่าซ่อมบำรุงเรือน ทว่าสองสามปีให้หลังนางแทบไม่ได้รับเงินค่าซ่อมบำรุงนั้นอีกเลย มีเพียงเงินเดือนอันน้อยนิดที่ฮูหยินรองส่งมาก็เท่านั้น ซ้ำยังกำชับให้นางกดขี่รังแกคุณหนูรองผู้นี้สารพัด หากนางไม่ทำตามเงินสักอีแปะก็จะไม่ได้ นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ
กล่าวตามตรง ลี่ถังเป็นสตรีหาเงินเลี้ยงบุรุษ ส่วนอีกฝ่ายมักมากหลายใจไข่ทิ้งไว้แล้วไม่แยแส คนเรายามสิ้นเนื้อประดาตัวอีกฝ่ายก็ย่อมหมดใจ ไม่สนกระทั่งเด็กน้อยตาดำ ๆ
"เอาล่ะ แม่บ้านลี่ เรื่องราวที่ผ่านมาข้าไม่รู้ว่าท่านต้องเผชิญหน้ากับอะไร อีกอย่างสิ่งที่ท่านเคยทำกับข้าที่แล้วมาก็ให้แล้วไป เดิมทีท่านทำไปเพราะคงมีเรื่องลำบากใจใช่หรือไม่"
ลี่ถังแหงนหน้าขึ้นกระบอกตาแดงก่ำ ทว่าศักดิ์ศรีกลับยังคงค้ำคอ นางพยายามขับไล่ม่านน้ำตาที่ตีตื้นขึ้นมาออกให้พ้นทาง
"ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร"
ซ่งซูหลานหยอกล้อกับเด็กน้อยในอ้อมแขนชั่วครู่ นางยอบกายลงเนิบช้า นัยน์ตาดอกท้อจดจ้องเข้าไปยังดวงตาแดงก่ำ ประกายตามุ่งมั่นไม่เหมือนคุณหนูรองคนก่อนเช่นนี้ส่งผลให้ลี่ถังรู้สึกหนาวสะท้านพิกล
ช่างดูเด็ดเดี่ยวมากขึ้นนัก!
"ข้าจะช่วยท่านดูแลพวกเขาเอง นับจากนี้ก็ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคุณหนูที่ถูกบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังทำให้มารดาสิ้นชีพ เช่นนั้นการใช้ชีวิตที่นี่คงนับว่าดีกับบั้นปลายที่หลงเหลือของข้าแล้วกระมัง"
ลี่ถังสะอึกจนหน้าชา นางไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ใดอยากเป็นครอบครัวเดียวกันกับตนด้วยซ้ำ อีกทั้งตนยังกดขี่คุณหนูผู้นี้สารพัด ถึงนางทำป่าเถื่อนกับอีกฝ่าย ซ่งซูหลานก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ
นับตั้งแต่ชายมักง่ายเห็นแก่เงินผู้นั้นทอดทิ้งลี่ถังไป นางก็ดูแลลูก ๆ เพียงลำพังมาโดยตลอด ขณะเดียวกันลี่ถังมักไม่ให้หยางเชาเข้าใกล้ซ่งซูหลาน ทว่าลับหลังนาง หยางเชาจะคอยลอบเข้าไปพูดคุยกับซ่งซูหลานอยู่เสมอ บางคราถูกจับได้ก็โดนลี่ถังหวดก้นไปหลายที
"คะ...คุณหนู" ลี่ถังเสียงสั่นเครือ
"เอาล่ะ ไม่ต้องร้อง ข้ารู้ว่าอารมณ์กราดเกรี้ยวของท่านก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ปกป้องตนเองเท่านั้น"
แม้ทุกอย่างเป็นการคาดเดาจากเรื่องเล่าของหยางเชาเพราะเขายังเด็กนักเรื่องราวที่ถ่ายทอดให้ตนอาจดูผิดเพี้ยนไปบ้าง ทว่าซ่งซูหลานกลับคิดว่าแม่บ้านลี่ถังผู้นี้หาใช่คนใจไม้ไส้ระกำใด เพียงพูดคุยดีหน่อย หว่านล้อมอีกนิด ก็นับว่าใช้ได้แล้ว หากนางจิตใจหยาบกระด้างดุจยักษ์มารจริงมีหรือจะเลี้ยงดูเด็กน้อยถึงสามคนให้เติบใหญ่ได้ สามคนที่ว่าก็รวมถึงนางด้วยนี่อย่างไร
