บาปติดตัว 1.2
“ขอโทษค่ะ ฉันลืมไป” ชญาณีหันไปตอบเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย
จากนั้นเธอก็เดินถอยหลังมาสองสามก้าว อยู่ ๆ ความคิดในหัวก็ผุดขึ้นมาว่า
‘มันคงจะไม่เจ็บหรอกนะ ถ้าวิ่งชนแล้วเข้าไม่ได้จะทำอย่างไร’
แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงทำตามที่ยมทูตบอก หลังจากหลับตาลง จากนั้นก็วิ่งจนเต็มแรง พอทะลุประตูเข้ามา
ก็ชนเข้ากับยมทูตที่กำลังยืนหันหลังให้เธออยู่พอดี เลยทำให้ยมทูต
เซถลาไปหลายก้าว จนต้องใช้หอกค้ำยันตัวเองไว้ ก่อนจะหันมาพูดตำหนิด้วยความโมโห
“ระวังหน่อยสิ ค่อย ๆ เดินเข้ามาก็ได้ ไม่ใช่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาจนชนข้าแบบนี้”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าท่านยืนอยู่หลังประตู ท่านไม่เป็นอะไรนะคะ” หญิงสาวถามเสียงสั่น เพราะกลัวความผิดที่ทำร้ายยมทูต เธอกลัวว่ายมทูตจะเอาเรื่องนี้ไปเพิ่มเป็นความผิดในตอนที่ต้องพิพากษาชีวิตหลังความตายของเธอ
“ข้าไม่เป็นอะไร รีบ ๆ มาเถอะ เสียเวลามากพอแล้ว”
ยมทูตกล่าวออกมาเหมือนรำคาญ จากนั้นก็เดินนำหน้าชญาณีไป
หลังจากที่เข้ามาภายในประตูหนีไฟแล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่บันไดหนีไฟอย่างที่เธอคิด แต่กลายเป็นเส้นทางดินสีแดง สองข้างทางขนาบไปด้วยหน้าผาสูงชันที่เป็นสีแดงเช่นกัน มองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คงเป็นยมโลกแน่ ๆ แค่เดินเข้ามาไม่นานเธอก็รู้สึกกลัวแล้ว
ชญาณีนึกจินตนาการถึงเรื่องที่เคยได้อ่านมาในหนังสือที่คนเขียนเล่าถึงยมโลกไว้ ในหัวของเธอมีภาพผู้คนมากมาย สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยวิญญาณที่กำลังได้รับการลงโทษอย่างทรมาน บางคนถูกสั่งให้ปีนต้นงิ้ว บางคนถูกต้มในกระทะทองแดง คิดแล้วก็ขนลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
‘แต่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำความเลวนะ อย่างมากก็แค่ด่าพนักงานเท่านั้น คงไม่ถึงกับต้องถูกลงโทษแบบนั้นหรอกมั้ง’
หญิงสาวคิดเข้าข้างตัวเองในใจ
‘หวังว่าฉันคงไม่ตกนรกหรอกใช่ไหม’
เธอถามตัวเองในใจ และเดินตามยมทูตไปเรื่อย ๆ ตอนนี้
ก็เดินมาไกลพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นคนที่ถูกลงทัณฑ์สักที
สองข้างทางยังคงเป็นหน้าผาสูงสีแดงตลอดทาง ครั้นจะถามยมทูตก็กลัวว่าจะโดนดุอีก เพราะเขาสั่งไว้แล้วว่าให้เดินตามอย่างเดียวและอย่าถามมาก
ในที่สุดก็มาถึงห้องห้องหนึ่ง ห้องนี้มีขนาดใหญ่โตและกว้างขวางมาก มียมทูตยืนเรียงแถวอยู่ทั้งสองฝั่งราวสิบคน มีอีกสองคนยืนอยู่บนแท่นยอดสูงขนาบสองข้างเก้าอี้ตัวใหญ่
แต่ที่ทำให้ชญาณีถึงกับขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น
‘ถ้าเดาไม่ผิด ท่านนี้จะต้องเป็นพญายมอย่างแน่นอน’
หญิงสาวคิดในใจ
หากคิดว่ายมทูตที่เดินทางมารับวิญญาณของเธอนั้นมีรูปร่างที่สูงใหญ่แล้ว พญายมที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้สูงใหญ่ยิ่งกว่า แค่ที่ท่านนั่งอยู่ก็น่าจะสูงกว่าชญาณีตอนยืนแล้ว ใบหน้า
สีแดงก่ำน่าเกรงขามมาก หญิงสาวถึงกับหลุบตาลงทันที เมื่อประสานสายตากับพญายม
“เงยหน้าขึ้นแล้วตอบคำถาม เจ้าชื่อชญาณี วิสุทธิเกสร ใช่หรือไม่” เสียงนั้นถามขึ้นมาอย่างทรงอำนาจ จนทำให้หญิงสาวสะดุ้ง
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อชญาณี วิสุทธิเกสร ชื่อเล่นแก้มหอมค่ะ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ข้าไม่จำเป็นจะต้องรู้ชื่อเล่นของเจ้า ไม่ต้องบอก” พญายมตวาดเสียงดังลั่น
“คะ...ค่ะ” เธอถึงกับสะดุ้งโหยงอีกครั้ง พลางคิดในใจว่า ‘ท่านพญายมนี่คงบ้าอำนาจมากแน่ ๆ ตอบเกินก็ไม่ได้’
“เอาประวัติของผู้หญิงคนนี้มาให้ข้า” พญายมพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแบมือออกมา
ยมทูตที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของพญายมยื่นม้วนแผ่นหนังม้วนหนึ่งให้ เมื่อพญายมอ่านแผ่นหนังนั้นก็พยักหน้าไปด้วย จากนั้นจึงเคลื่อนสายตากลับมาที่ชญาณีอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนดีไม่น้อย ที่จริงแล้วเจ้าควรจะได้ไปสวรรค์” พญายมกล่าวตามกรรมดีของชญาณี
ส่วนหญิงสาวก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เมื่อได้ยินแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ส่งฉันไปสวรรค์ตอนนี้เลยสิคะ ในเมื่อฉันมีแต่ความดี ไม่มีความชั่ว” เธอรีบพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มดีใจ ที่อย่างน้อยตายแล้วก็ไม่ตกนรก
“ยังไม่ได้หรอก เจ้ามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เจ้าจะต้องชดใช้บาปของเจ้าให้เสร็จสิ้นเสียก่อนถึงจะไปสวรรค์ได้” พญายมพูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดัน
“บาปอะไรกันคะ ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำเรื่องไม่ดีเลยนะ”
หลังจากได้ยินอย่างนั้น เธอก็รีบแย้งขึ้นมาทันที เพราะพยายามทบทวนดูแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองไม่มีบาปอย่างแน่นอน
“เฮ้อ...เพราะเจ้ายังทำเรื่องหนึ่งไม่สำเร็จน่ะสิ ถึงได้มีบาปติดตัว” พญายมพูดขึ้นหลังจากอ่านแผ่นหนังนั้นอย่างละเอียด
“ฉันทำเรื่องอะไรไม่สำเร็จเหรอคะถึงได้มีบาปติดตัว ในเมื่อฉันจำได้ว่าไม่เคยทำชั่ว แล้วจะมีบาปได้ยังไงกัน” คราวนี้เธองงเป็นไก่ตาแตกแล้ว ที่ไม่เคยทำชั่ว แต่กลับมีบาปติดตัวเฉยเลย
