บทที่ 10 พักฟื้นก่อนเริ่มงาน 1/2
ส่วนคุณชายน้อยหน้านิ่งผู้ที่จ้องมองนาง ด้วยมีคำถามที่ปรากฏออกมาทางสายตานั้น จ้าวจางหมิ่นย่อมต้องไปพบเป็นการส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน เพราะนางไม่อยากให้ทุกคนต้องอยู่ด้วยความระแวง เพราะบางคนเคยเป็นบ่าวไพร่มาก่อน การเดินหาเรือนพักนั้นจึงไม่ยากเท่าใดนัก นอกจากความปิติยินดีที่ได้รับอิสระแล้ว พวกเขายังมีงานทำได้รับค่าตอบแทนทันที แม้เจ้านายจะเป็นเพียงเด็กหญิงวัยย่างเจ็ดหนาว แต่น้ำเสียงยามพูดจากลับดูมีอำนาจ และทำให้คนฟังอย่าง
พวกตนรู้สึกเกรงใจได้
อาหารรสชาติอร่อยแปลกลิ้นพวกเขานั่งทานร่วมกันที่ลานใกล้ห้องครัว ส่วนอีกสามคนจ้าวจ้างหมิ่นให้ฮุยอิน ยกไปให้ที่เรือนเล็กซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของพวกเขา จนกระทั่งผ่านมื้ออาหารที่กินอิ่มท้อง ในรอบหลายเดือนมานี้แล้ว จึงได้แยกย้ายไปพักผ่อนตามคำสั่ง ส่วนคนที่เป็นหัวข้อภารกิจพิเศษ กลับนั่งคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ
‘เสิ่นหนิงเทียน’ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสิ่นอันโหว ผู้มีความมุ่งมั่นที่จะเข้ากองทัพ เพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งบารมีของผู้เป็นบิดาอย่างเสิ่นชิงหลาง ตัวของเสิ่นหนิงเทียนเพิ่งเข้าร่วมกองทัพได้หนึ่งปี ยังมิทันไรกลับถูกใครบางคน วางแผนสกปรกกำจัดตนเอง ขณะที่กำลังทำงานอยู่ในค่ายทหาร และขายเป็นทาสส่งมายังเมืองเหอเฟย ที่อยู่ติดชายแดนทิศบูรพาแห่งนี้
ความคิดของเสิ่นหนิงเทียนคิดไว้ว่า คนที่จ้องจะล้มตระกูลเสิ่นของตน ซึ่งเป็นตระกูลที่ฮ่องเต้ทรงให้ความไว้วางพระทัย คงจะเป็นใครไปมิได้ นอกจากตระกูลของเจากุ้ยเฟย ส่วนคนลงมือคงหนีไม่พ้นเจาเต๋อผิงเสนาบดีสำนักเลขานุการผู้นั้น เขาและคนสนิทหายเงียบไปหลายเดือนเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่าทางด้านครอบครัวจะเป็นอย่างไรบ้างในยามนี้ คิดได้ดังนั้นเสิ่นหนิงเทียนก็มีแววตาที่เปลี่ยนไป เขาจดจำความแค้นนี้เอาไว้ หากวันใดที่มีอำนาจมากพอ ตระกูลเจาต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม
ชูชางที่เจ็บน้อยกว่าสหาย เห็นคุณชายแห่งจวนตระกูลเสิ่น เอาแต่นั่งนิ่งก็อดสงสัยไม่ได้ “คุณชายขอรับ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ”
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดเรื่องคนชุดดำที่ส่งพวกเรามาที่นี่ ว่าจะเป็นคนของผู้ใดได้บ้างเท่านั้น” เสินหนิงเทียนตอบคนสนิท ด้วยเสียงทุ้มของวัยที่กำลังเติบโต และสิ่งที่เขาคิดต้องสืบหาความจริงเมื่อกลับถึงเมืองหลวง
“บ่าวไม่คิดเลยว่า ในค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่ไป๋ จะมีคนของเสนาบดีเจาอยู่รอจัดการพวกเรา แค่ก ๆ” เฉียนฟานรู้สึกแค้นใจไม่ต่างจากเจ้านายเช่นกัน
“อืม เพราะพวกเราประมาทและยังขาดประสบการณ์ ต่อไปต้องเรียนรู้ให้มากกว่าเดิม และต้องไม่หยุดพัฒนาตนเอง เจ้ายังบาดเจ็บอยู่มากอย่าเพิ่งพูดอันใดจะดีกว่า” เสิ่นหนิงเทียนที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จากผู้เป็นปู่อดีตอาจารย์ของฮ่องเต้ เขาเข้าใจสาเหตุความผิดพลาดได้รวดเร็วอย่างยิ่ง สิ้นคำพูดของเสิ่นหนิงเทียน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพื่อบอกคนทั้งสาม ว่ายามนี้มีผู้มาเยือนพวกตนแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก แอ๊ดดด
จ้าวจางหมิ่นเดินเข้าไปในห้องโถงของเรือน มองเห็นถ้วยชามบนโต๊ะทานอาหาร ไม่มีแม้แต่เศษเม็ดข้าว ก็เข้าใจได้เพราะพวกเขาคงกินไม่อิ่มท้องมานาน
“พี่หนิงอวี่อาหารฝีมือของท่านอร่อยมากนะ คนที่ได้ทานถึงจัดการจนเกลี้ยงเช่นนี้ คารวะคุณชายเสิ่นเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นเอ่ยเย้าแขกของเรือน ก่อนทำความเคารพตามมารยาท
“คารวะคุณชายเสิ่นเจ้าค่ะ” หนิงอวี่ที่ติดตามมาจึงทำความเคารพตามจ้าวจางหมิ่น
“..??..”
เสิ่นหนิงเทียนขมวดคิ้วคมเข้าหากัน และเกิดความระแวงขึ้นมาอย่างฉับพลัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่เสิ่น? มีใครส่งประวัติของข้ามาให้เจ้าเช่นนั้นรึ”
“จุ๊ ๆ ๆ อย่าได้คิดว่าข้าเป็นศัตรูของท่านเด็ดขาด และอย่าสนใจว่าข้าจะรู้อันใดเกี่ยวกับท่านหรือไม่ ปัญหาหรือความแค้นส่วนตัวของท่าน จงจดจำมันเอาไว้เสียก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดยามนี้ คือการพักรักษาตัวของท่านและคนสนิททั้งสอง หลังจากหายดีแล้วข้าจะให้น้าเหว่ยหง ไปส่งท่านที่เมืองหลวงอย่างปลอดภัย” จ้าวจางหมิ่นมิได้มีท่าทีหวาดกลัว เมื่อเสิ่นหนิงเทียนส่งสายตาดุดันมาให้นาง
“ทำไมถึงได้ช่วยพวกข้าออกมาจากที่นั่น ข้อนี้เจ้าคงตอบข้าได้กระมังคุณหนูจ้าว”
“เรื่องนี้ข้าตอบได้เพียงว่าเป็นภารกิจที่ข้าต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งเพราะคุณชายเสิ่นมีความมุ่งมั่น รวมถึงความตั้งใจจริงในสิ่งที่ตนต้องการ ในวันหน้ารบกวนคุณชายเสิ่นช่วยกำจัดขุนนางชั่วที่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ที่ทำงานหาเงินอย่างยากลำบาก แต่พวกเขากลับนั่งกินนอนกินอยู่บนกองเงินกองทอง ที่ฉ้อฉลคดโกงไปเป็นของตนด้วยนะเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นตอบโดยไม่หลบสายตาคม ทำเอาเจ้าของคำถามถูกตรึงไว้ด้วย ดวงตาดอกท้อที่งดงามน่ามองเข้าอย่างไม่รู้ตัว
“อะฮึ่ม ในเมื่อเป็นความช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ข้าผู้แซ่เสิ่นต้องขอบคุณคุณหนูจ้าวเป็นอย่างมาก วันหน้าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด สามารถส่งคนไปที่จวนตระกูลเสิ่นอันโหวได้ทุกเมื่อ” เพราะนางเป็นผู้มีพระคุณ จะให้เขาเย่อหยิ่งถือตัวว่าเป็นชนชั้นสูงได้อย่างไร
“เจ้าค่ะ แต่ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ท่านมิใช่บุตรชายขุนนางใหญ่ ทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป หมั่นฟื้นฟูกำลังและฝึกฝนวรยุทธ์ให้ดีก็พอ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนมากมาย ที่เข้าออกเมืองเหอเฟยแห่งนี้ด้วยนะเจ้าคะ ส่วนในถาดที่พี่หนิงอวี่ถือมา มีทั้งยากินและยาทารักษาแผล พวกท่านใช้ตามคำอธิบาย ที่เขียนติดเอาไว้อย่างเคร่งครัดก็พอ อีกอย่างอย่าได้อยากรู้ในสิ่งที่ข้าไม่อนุญาต หวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ” จ้าวจางหมิ่นพูดเน้นน้ำเสียงให้ดูจริงจัง รวมถึงดวงตาที่บ่งบอกว่ามิได้พูดเล่นด้วยเช่นกัน
จ้าวจางหมิ่นยังคงจดจ้องเสิ่นหนิงเทียนตาไม่กระพริบ จนได้รับคำตอบที่น่าพอใจถึงมีรอยยิ้ม และรอยบุ๋มตรงแก้มด้านซ้ายปรากฏให้เห็น “คุณหนูจ้าววางใจ ข้ากับคนสนิทรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ เมื่อทำความเข้าใจกันตรงกันแล้ว ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน พวกท่านจะได้พักผ่อนเสียที หากขาดเหลือสิ่งใดให้บอกกับคนของข้าได้อย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ”
“รบกวนคุณหนูจ้าวแล้ว”
จ้าวจางหมิ่นไม่ลืมทำความเคารพ ก่อนจะออกจากเรือนหลังเล็กนี้ไป โดยมีสายตาคู่คมคอยมองตามหลังของนาง จนเจ้าของร่างหายไปยังเรือนใหญ่ เสิ่นหนิงเทียนคิดถึงท่าทางของจ้าวจางหมิ่น ก็แอบยกยิ้มมุมปากเล็กพร้อมส่ายหน้า
คงมีเพียงนางกระมังที่ไม่ยอมหลบสายตา ยามถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาดุดันเช่นนั้น แม้แต่ญาติพี่น้องที่เป็นสตรี พวกนางไม่มีใครกล้าอย่างนางสักคน
‘หึ จ้าวจางหมิ่นข้าจดจำชื่อนี้ของเจ้าไว้แล้ว’