บทที่ 15 ทำสัญญาเลือด (2)
คำกล่าวของฉีหนานหวังเป็นคำสั่งกลายๆ ที่มิอาจปฏิเสธได้ ซือหนิงพยักหน้าให้เจ๋อหานวางใจก่อนจะเดินตามเขาไปยังที่ไม่ไกลจากเดิมนัก
“ท่านมีสถานะเป็นพลเมืองแคว้นฉีแล้ว จะทำอันใดต่อ?”
คำถามของฉีหนานหวังตรงไปตรงมายิ่ง ทว่าสำหรับซือหนิงที่ไม่สามารถวางใจเขาได้ย่อมต้องใคร่ครวญว่าคำถามนี้กำลังแฝงนัยบางอย่างกันแน่
ซือหนิงหรี่ตาลงเล็กน้อยมองแผ่นหลังตั้งตรงที่เปรียบเสมือนกำแพงเมืองของแคว้นฉี ไม่แน่แล้วเรื่องที่เขาอยากคุยกับนางในวันนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของแคว้นฉีก็เป็นได้
เช่นนั้นนางต้องตอบคำถามอย่างไรก็ได้ให้เขาวางใจ
นางระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนตอบเสียงเรียบโดยที่น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ
"ก็คงอาศัยอยู่ในจวนที่ได้รับพระราชทานเพคะ"
ฉีหนานหวังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
"แล้วอย่างไรต่อ?"
น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด แต่ก็ทำให้ซือหนิงรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบแต่กำลังจะหาเรื่องนางมากกว่า
ดวงตาของนางฉายแววไม่พอใจ แต่ก็ยังเก็บงำไว้ ทว่าเสียงที่ตอบกลับครานี้เยือกเย็นขึ้น
"ไม่มีอะไรพิเศษ หม่อมฉันก็คงจะใช้ชีวิตไปวัน ๆ ใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้กระมัง"
ฉีหนานหวังหันกลับมาจ้องนางก่อนจะกล่าวต่อ
"แล้วอย่างไรต่ออีก?"
ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาเริ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับต้องการให้ได้คำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ ทั้งที่คำถามของเขาหาได้ต่างไปจากเดิมไม่
ซือหนิงเม้มริมฝีปากแน่น ดึกดื่นเช่นนี้นางจำเป็นต้องอดทนถูกเขาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ด้วยหรือ
ชีวิตของนางไม่ใช่เรื่องที่เขาควรมายุ่งเกี่ยวด้วยเลยด้วยซ้ำ!
"หม่อมฉันจะอาศัยในจวนที่ได้รับพระราชทานอย่างสงบ พระองค์เข้าใจว่าคำว่า สงบ หมายถึงอะไรหรือไม่เพคะ?"
ซือหนิงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาทอประกายคมกริบอย่างสื่อความหมายชัดเจน
ฉีหนานหวังชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบกลับในทันทีเพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องคิดและทำความเข้าใจอยู่
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก ซือหนิงก็ตัดบทเสียก่อนแล้ว
"การที่หม่อมฉันจะมีชีวิตอย่างสงบได้ ย่อมต้องไม่รบกวนให้พระองค์ให้ทรงเป็นห่วงเพคะ"
ซือหนิงกำลังกล่าวเตือนโดยอ้อมแล้ว หากเขายังคงยุ่งเกี่ยวกับนาง ชีวิตของนางคงมิอาจสงบได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นที่เขากำลังเป็นอยู่อย่างไรเล่า
นางพูดชัดเจนแล้วหวังว่าเขาจะเข้าใจ ซือหนิงย่อคารวะอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยปิดท้ายถือเป็นการขอตัวจากมา
"หม่อมฉันขอขอบพระทัยทุกเรื่องเรื่องที่ทรงใส่ใจ และขอตัวกลับตำหนักก่อน พอดีพรุ่งนี้หม่อมฉันยังมีเรื่องให้วุ่นวายอีกมาก"
ซือหนิงก้าวถอยหลังก่อนรีบหมุนตัวเดินออกไป
"หากเจ้าต้องการความสงบเช่นที่เจ้าพูด... ก็จงอยู่ให้ห่างจากองค์รัชทายาทเสีย"
น้ำเสียงเยือกเย็นของฉีหนานหวังดังขึ้นเป็นคราสุดท้ายทำให้ซือหนิงจำเป็นต้องหยุดฝีเท้าในทันที
บรรยากาศรอบด้านเงียบสนิท ลมหนาวพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงสะท้อนก้องหู คราวนี้ซือหนิงไม่ได้หันกลับมา แต่ริมฝีปากของนางแย้มรอยยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยรับคำทั้งที่หันหลังให้อย่างนั้น
"ลำบากพระองค์แล้วเพคะ"
แล้วซือหนิงก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังเลย...
ฉีหนานหวังยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขาเฝ้ามองเงาร่างของซือหนิงที่กำลังห่างออกไปจนลับสายตา
“นายท่าน…”
อาฉี องครักษ์ผู้ภักดีที่เติบโตและเฝ้าติดตามเขามาเนิ่นนานเอ่ยเรียก ในยามที่อยู่ในจวนหวังเองหรือไม่มีคนนอก สรรพนามราชวงศ์จะถูกละไว้เสมอ
อาฉีมองใบหน้าของเจ้านายด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่นานราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง ทว่ากลับลังเลเพราะรู้ว่าไม่ควรพูดออกไปเนื่องด้วยเป็นการบังอาจคาดเดาความคิดของเจ้านาย
ทว่าฉีหนานหวังนั้นรับรู้ได้ถึงความลังเลนั้น
"เจ้ามีเรื่องจะพูด ก็พูดมา"
น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้ผู้อื่นมิอาจขัดอันเป็นเอกลักษณ์ของฉีหนานหวังผู้ได้ฉายาว่ายมทูตแห่งแคว้นฉี
...ยามออกนำศึกมีรังสีเข่นฆ่าไม่ต่างจากยมทูต
อาฉีสบตากับเจ้านายของตน ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น
"พระองค์มีเรื่องจะคุยกับท่านหญิงซือหนิงเพียงแค่เรื่ององค์รัชทายาทหรือพะยะค่ะ?"
ฉีหนานหวังขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาแม้จะยังคงความเย็นชา ทว่ากลับมีแววความลังเลแวบผ่านไปเพียงเสี้ยวหายใจ
"เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?"
"มิใช่ว่าพระองค์มีเรื่องอื่นที่อยากบอกท่านหญิงมากกว่านั้นหรอกหรือพะยะค่ะ?"
ที่อาฉีคิดเช่นนี้ เพราะสิ่งที่เจ้านายของเขาเป็นมาตลอดหลายปีเมื่อเทียบกับการกระทำของเขาในปีนี้ มันทำให้อาฉีรู้ว่าเจ้านายของตนนั้นเปลี่ยนไปบางอย่างแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉีหนานหวังทำบางอย่างที่ไร้ที่มา ซึ่งเรื่องเหล่านั้นล้วนเกี่ยวกับอดีตองค์หญิงผู้นี้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะการที่ทรงคอยจับตาดูนาง การที่เขามักออกหน้าห้ามปรามโดยไม่ใช่เพราะคำสั่งจากฝ่าบาท และแม้แต่การพูดกับนางราวกับต้องการยั่วยุนางให้โต้กลับ
...ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้อาฉีที่รู้จักเจ้านายของเขาดี อดสงสัยมิได้
“เมื่อครู่นี้ ความตั้งใจของพระองค์มิใช่ถามเพราะต้องการเอ่ยช่วยเหลือหรอกหรือพะยะค่ะ?”
คำถามของอาฉีทำให้ฉีหนานหวังชะงักไป ฉีหนานหวังบัดนี้ครุ่นคิดอย่างหนักจนไม่มีคำตอบใดถูกกล่าวออกมาในทันที
“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นเช่นนั้น?”
เสียงของฉีหนานหวังยังคงเรียบ แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างกับไม่ใช่เสียงของเขาเอง
ความสับสนในใจของฉีหนานหวัง ตัดสินได้ยากเกินกว่าที่บุรุษที่ทั้งชีวิตใช้ไปเพื่อทำตามคำสั่งของฝ่าบาทจะคิดได้
อาฉีถอนหายใจเบา ๆ เงียบเพื่อปล่อยให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียบเรียงความรู้สึก...
“ท่านหญิงซือหนิงคือสตรีคนแรกที่พระองค์ยุ่งเกี่ยวด้วยโดยไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องมิใช่หรือพะยะค่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉีหนานหวังพลันมืดครึ้มทันที คำถามของคนสนิทฉุกให้เขาคิดได้แล้ว
...แววตาของเขาเย็นเยียบราวมีหิมะตกในพริบตา
“อาฉี ข้าคิดว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้ายุ่งเกี่ยวกับนางเพราะนางคือสตรีที่ข้าชังต่างหาก”
อาฉีชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งและน้อมรับการตัดสินใจของเจ้าของความรู้สึกอย่างมิอาจเข้าใจความหมายได้
ฉีหนานหวังยกมือขึ้นไพล่หลัง ทอดสายตาไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นท่ามกลางท้องฟ้าในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของเขามืดครึ้มอบอวลด้วยท่านหมอกจนมิอาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดได้อีกต่อไปอีกครา
"คราวหลังอย่าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก"
ใช่แล้ว ความแค้นของเขายังรอวันสะสาง...
ท่านหญิงซือหนิงผู้นี้ คือคนที่เขาควรชังอย่างสุดหัวใจ!
