บทที่ 4 ชีวิตที่น่าสงสาร
บทที่ 4 ชีวิตที่น่าสงสาร
ในขณะที่นลินสลบนั้น ภาพความทรงจำพวกนั้นของหญิงสาวคนหนึ่งยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน คล้ายความฝันและมันเป็นฝันร้าย หญิงสาวในความทรงจำคนนี้มีชื่อว่า หลินเพ่ยหลัน ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ เนื่องจากเธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเธอก็แต่งงานใหม่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่มีนิสัยร้ายกาจแถมยังใจแคบอีกด้วย
ชีวิตของหลินเพ่ยหลันหลังจากนั้นจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อของเธอเอาแต่ทำงาน ทำให้แทบไม่มีเวลาให้กับลูกสาวคนนี้ สถานะของหลินเพ่ยหลันในบ้านหลินจึงน่าเวทนามาก
แม่เลี้ยงของเธอมักจะอารมณ์ร้อนและรังแกเธออยู่เสมอ หล่อนมองเห็นลูกสาวกับภรรยาเก่าของสามี เป็นเหมือนหนามยอกอก ความรักและการเอาใจใส่ที่ควรจะได้รับ กลับกลายเป็นความเกลียดชังที่เข้ามาแทน
เมื่อพ่อของเธอกับแม่เลี้ยงมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน หลินเพ่ยหลันก็ถูกทิ้งให้กลายเป็นเพียงเงาที่ไร้ค่าในบ้าน จากลูกสาวคนโตตอนนี้มีสถานะไม่แตกต่างไปจากคนรับใช้ในบ้านหลิน
วันหนึ่งหลินเพ่ยหลันนั่งอยู่มุมห้องครัว เธอพยายามขัดถูพื้นด้วยความเหนื่อยล้า เหงื่อไหลซึมผ่านหน้าผากและเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่ม นางหลิวอี้แม่เลี้ยงเดินเข้ามาพร้อมกับลูกสาวคนเล็ก ทำให้หลินเพ่ยหลันหยุดมือชั่วขณะและเงยหน้าขึ้นมอง เด็กหญิงพยายามส่งยิ้มให้ทั้งสอง แต่กลับพบเพียงสายตาเหยียดหยามจากแม่เลี้ยงกลับมา
ทุกวันหลินเพ่ยหลันต้องทนทุกข์กับการถูกแม่เลี้ยงทุบตีอย่างไร้เหตุผล รอยแผลและรอยฟกช้ำที่ปรากฏอยู่ร่างกายของเธอ บางครั้งก็มีเลือดซึมออกมา แต่ก็ไม่กล้าแสดงความเจ็บปวดให้ใครเห็น พ่อของเธอแม้จะเห็นรอยแผลพวกนั้น แต่กลับไม่ได้สนใจหรือสงสัยอะไร ด้วยคำพูดของภรรยาใหม่ที่บอกว่าหลินเพ่ยหลันดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง จึงจำเป็นต้องอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด
เพียงคำพูดไม่กี่คำจากปากของแม่เลี้ยง พ่อของหลินเพ่ยหลันก็เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง เขาเชื่อภรรยาใหม่อย่างหมดใจ และปล่อยให้เธอทำการอบรมบุตรสาวตามใจชอบ แม่เลี้ยงใช้โอกาสนี้รังแกหลินเพ่ยหลัน ทุกครั้งที่เธอทำงานบ้านไม่ถูกใจ หรือทำงานไม่ทันตามที่แม่เลี้ยงกำหนด เธอก็จะถูกตีด้วยไม้เรียวหรือมือแข็งกร้าวของแม่เลี้ยง
จนวันหนึ่งเมื่อหลินเพ่ยหลันอายุครบ 11 ปี เธอถูกกลั่นแกล้งจากน้องสาวต่างมารดา ที่เดินเข้ามาหาเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“นี่ เพ่ยหลัน มายกของให้หน่อยสิ” หลินเสี่ยวหรงสั่งเสียงแข็งไม่ต่างจากสั่งงานสาวใช้เลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะเด็กหญิงคนนี้ไม่เคยมองหลินเพ่ยหลันเป็นพี่สาวเลยอย่างไรล่ะ
แต่เพราะไม่อยากถูกทุบตีอย่างที่แล้วมา หลินเพ่ยหลันจึงรีบเดินไปทำตามคำสั่งทันที แต่ขณะที่เธอกำลังยกของหนักอยู่นั้น หลินเสี่ยวหรงก็แอบยื่นเท้ามาขัดขาของเธอทำให้เสียการทรงตัวแล้วล้มลง โดยที่ศีรษะของเธอกระแทกพื้นอย่างแรงจนเสียงดัง
“โอ๊ย!” หลินเพ่ยหลันร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเลย
หลินเสี่ยวหรงยืนอยู่ข้าง ๆ มองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน “นี่เพ่ยหลัน ทำไมไม่ดูทางให้ดีๆ หน่อยล่ะ ลุกขึ้นสิ หรือว่าจะนอนอยู่ตรงนี้ทั้งวัน ทางก็มีแค่นี้แต่กลับทำตัวอ่อนแอแข้งขาอ่อน”
ได้ยินอย่างนั้นแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน แต่เด็กหญิงอย่างหลินเพ่ยหลันก็พยายามลุกขึ้น แต่เพราะความเจ็บปวดรุนแรงที่ศีรษะ ทำให้เธอลุกไม่ไหว จึงได้นอนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอคอยความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่กลับไม่มีใครเข้าช่วยเลย ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของเธอ แม้แต่พ่อผู้ให้กำเนิดก็ไม่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายเพราะความเจ็บปวด เลยทำให้เธอสลบไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ สติของหลินเพ่ยหลันเริ่มกลับมา แต่เมื่อเธอพยายามลืมตาขึ้นมองกลับพบว่าดวงตาของเธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอเป็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น
“ทำไม... ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลย...”
เด็กหญิงพยายามยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ความหวาดกลัวและความสับสนเกิดขึ้นในใจ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้และคิดว่านี่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น แต่เปล่าเลย ไม่ว่าอย่างไร ดวงตาคู่นี้ก็มืดมิดไปเสียแล้ว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
รอบกายไม่มีใครอยู่เคียงข้าง แม้ในช่วงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดก็ตาม อีกทั้งบ้านหลินแห่งนี้กลับไม่มีใครคิดที่จะพาเธอไปโรงพยาบาลเลยสักคนเดียว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลินเพ่ยหลันจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิด ทุกวันที่ตื่นขึ้นมานั้นไม่ต่างจากเป็นการต่อสู้กับความสิ้นหวังและความอ้างว้างที่เกิดขึ้นในใจ เด็กหญิงที่เคยสดใสไม่สามารถเห็นท้องฟ้าสีคราม หรือดอกไม้ที่เบ่งบานได้อีกต่อไป
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอกลายเป็นเพียงเสียงและความรู้สึกสัมผัสเท่านั้น
จวบจนหกปีผ่านไป ทำให้หลินเพ่ยหลันพยายามปรับตัวและใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติได้ แม้ดวงตาจะมืดบอด แต่เธอก็ไม่ยอมให้ความพิการนั้นมาขวางการดำเนินชีวิต หญิงสาวฝึกฝนทักษะการฟัง การสัมผัส และการจดจำเส้นทางภายในบ้าน รวมถึงนอกบ้านที่เธอต้องใช้ประจำวันนั่นก็เพื่อที่จะใช้ชีวิตให้ได้เหมือนกับคนอื่น
นอกจากนี้เธอยังต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาด ซักผ้า ทำอาหาร ตักน้ำ ตกเป็นหน้าที่ของหลินเพ่ยหลันคนเดียว ส่วนแม่เลี้ยงกับหลินเสี่ยวหรงนั้น กลับไม่ยอมช่วยเหลืออะไรเลย ทั้งสองคนเอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ใช้ชีวิตอย่างสำราญใจ ไม่เคยสนใจว่าเธอจะต้องเหนื่อยยากสักแค่ไหน
ทุกเช้าเธอต้องตื่นแต่เช้ามืดแล้วเริ่มทำงานบ้าน เธอทำอาหารให้ทุกคนกินทั้งที่บางครั้งเธอแทบไม่ได้กินอาหารดี ๆ พวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
ในยามค่ำคืนหลังจากทุกคนในบ้านหลับไปแล้ว หลินเพ่ยหลันยังคงนั่งอยู่คนเดียวในความมืด คิดถึงอนาคตที่อาจจะดีกว่านี้ ความฝันของเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แค่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะสามารถหลุดพ้นจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากนี้ได้ และมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันหนึ่งนางหลิวอี้แม่เลี้ยงของหลินเพ่ยหลันคิดแผนการบางอย่างขึ้นมา เธอวางยาลูกเลี้ยงจนหมดสติ และจ้างคนมาพาตัวเธอไปขาย ซึ่งในวันนั้นหลินตงกับหลินเสี่ยวหรงไม่อยู่บ้าน มีเพียงแค่หลินเพ่ยหลันกับแม่เลี้ยงที่ไม่ไปทำงานในคอมมูนโดยอ้างว่าป่วย เลยทำให้อยู่กันเพียงสองคนในบ้าน
หลังจากที่จัดการลูกเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเกวียนเล่มหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าบ้าน โดยมีชายสองคนเดินเข้ามาในบ้าน และพาร่างหลินเพ่ยหลันที่นอนหมดสติอยู่ออกมาจากบ้าน โดยที่ไม่ให้ใครพบเห็น
แต่โชคดีที่ในขณะนั้น ซ่งเฟยหลง ลูกชายคนที่สามของตระกูลซ่ง กำลังเดินผ่านมาพอดี เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าก็รู้สึกแปลกใจและสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าเห็นชายสองคนกำลังอุ้มหญิงสาวที่ไร้สติขึ้นไปบนเกวียนอย่างร้อนรนและทุลักทุเล
“เฮ้! หยุดเดี๋ยวนี้! พวกนายทั้งสองกำลังทำอะไรกัน”
ซ่งเฟยหลงตะโกนออกมา แล้วรีบวิ่งเข้ามาขวางหน้าเกวียนอย่างอดไม่ได้
