สามีที่หล่อเหลา 1.1
บทที่ 2
สามีที่หล่อเหลา
ส่วนทางด้านโม่กวนหยาง
ขณะที่ชายหนุ่มทำงานอยู่นั้น มีคนมาบอกเรื่องที่ภรรยาเขาล้มหัวฟาด จึงรีบลางานเพื่อเดินทางมาโรงพยาบาลทันที แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกหักเงินจำนวนไม่น้อยเลยก็ตาม
เมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาล ก็พบภรรยาและแม่ยายกำลังเดินออกมาพอดี
“นั่นกวนหยางไม่ใช่หรือไง สงสัยรีบมาเพราะเป็นห่วงลูกแน่เลย” จางฮุ่ยอีพูดขึ้นมาเมื่อเห็นลูกเขยกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมกับชี้ให้ลูกสาวดู
หลินซินเยว่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงและยืนอยู่ตรงหน้าก็อึ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘นี่หรือโม่กวนหยาง ไม่คิดว่าเขาจะหล่อเหลาขนาดนี้’
“ซินเยว่ คุณเป็นยังไงบ้าง” โม่กวนหยางถามขึ้นมาอย่างห่วงใย สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกไม่น้อยเลย พร้อมกับใช้สายตากวาดมองทั่วร่างของภรรยาสาวเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร
“เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวที่ถูกถามและถูกมองอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน เพราะความไม่คุ้นชินในตอนที่ตอบกลับไป จึงดูเก้อเขินไม่น้อย
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไปตั้งนาน
นี่ก็ดื้อไม่ยอมนอนโรงพยาบาล แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วล่ะ”
จางฮุ่ยอีได้ยินคำตอบของลูกสาวก็อดที่จะบ่นออกมาคล้ายกับฟ้องลูกเขยไม่ได้
พอได้ยินแม่ยายพูดแบบนั้น ชายหนุ่มทำเพียงพยักหน้า จากนั้นจึงมองไปที่ภรรยาต่อ เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวผมไปตามรถสามล้อมาให้”
โม่กวนหยางพูดจบ และกำลังจะผละออกไปเรียกรถสามล้อ เนื่องจากเขารู้ดีว่าภรรยานั้นไม่ชอบเดิน เพราะเธอมักจะบอกเสมอว่าร้อนและเหนื่อย
แต่เท้าทั้งสองข้างของเขาก็ต้องชะงักลง เมื่อจู่ ๆ ผู้เป็นภรรยาพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเรียกรถสามล้อหรอกค่ะพี่กวนหยาง เดี๋ยวเรากลับด้วยรถประจำทาง ฉันคิดว่าเดินไปพร้อมกัน
จะสะดวกกว่า พี่เองก็จะได้ไม่เหนื่อยที่ต้องเดินกลับไปกลับมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ไม่เพียงแค่โม่กวนหยางที่รู้สึกแปลกใจและตกใจ แม้กระทั่งแม่ของหลินซินเยว่เองก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ที่ลูกสาวดูจะเปลี่ยนไปมาก หลังจากที่ล้มหัวฟาดพื้นแล้วฟื้นคืนสติกลับมา
แม้จะตกใจและแปลกใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งสองได้เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ แล้วพากันเดินไปที่
รถประจำทางเพื่อจะกลับเข้าไปในหมู่บ้าน
ระหว่างทาง หลินซินเยว่ได้แต่คิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ในใจ
‘ฉันคงพยายามทำใจสินะว่าเวลานี้ฉันทะลุมิติมาอยู่ในยุค 80 จริง ๆ แถมจากความทรงจำ ร่างนี้ก็ร้ายไม่ใช่เล่นเลย
ขนาดสามีตัวเองเธอยังใช้งานเขาเยี่ยงทาส สมแล้วที่บ้านสามีจะไม่ชอบร่างนี้ จนขอให้ทั้งสองคนแยกบ้านออกมา
ทั้งที่บ้านสามีล้วนแต่เป็นคนดีทั้งนั้น จะมีก็แต่คนบ้านรองโม่สินะที่คอยแต่จะหาเรื่องเธอ คงจะเป็นเพราะอาสะใภ้รองของสามีต้องการให้หลานสาวตนเองแต่งกับโม่กวนหยาง เพราะชายหนุ่มขยันทำงาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะร่างนี้ทำให้เขามาแต่งงานกับตัวเอง คิดดูแล้วก็ดีเหมือนกันที่แยกบ้านออกมาแบบนี้’
เธอคิดไปเงียบ ๆ และมีบางครั้งที่ขมวดคิ้วอย่างลืมตัว
จนอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ สังเกตเห็น
“นั่งเงียบตลอดทางแบบนี้ ปวดหัวหรือเป็นอะไรหรือเปล่าลูก” จางฮุ่ยอีเห็นลูกสาวนั่งเงียบและมีสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดทาง เลยกลัวว่าอาการของเธอจะแย่ลง จึงรีบถามออกมา
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง แม่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะคะ” หญิงสาวได้ยินเสียงของแม่ ก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด เธอพยายามยิ้มและตอบเบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้แม่เป็นกังวลไปด้วย
‘นี่คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันใจชื้นอยู่บ้าง ครอบครัวของร่างนี้นั้นเป็นคนดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เป็นพ่อแม่หรือพี่ใหญ่ของเธอเองต่างก็ดีกับร่างนี้มาก
แต่ก็เป็นเพราะร่างนี้อีกนั่นแหละ ที่ไม่เคยทำดีกับครอบครัวเลย ตั้งแต่เล็กจนโตก็ล้วนเอาแต่ใจ จนคนที่บ้านแทบจะเอือมระอา แต่เมื่อฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ต่อไปฉันจะทำดีกับทุกคนเพื่อเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน’
หญิงสาวคิดในใจและยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เธอตั้งใจว่าต่อไปนี้ใครดีมาเธอจะดีตอบ แต่ถ้าใครร้ายมา เธอจะร้ายกลับไปอย่างสาสม
“คุณไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ จะกลับไปนอนที่โรงพยาบาลสักคืนสองคืนก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก”
โม่กวนหยางพูดขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางของภรรยาไม่ค่อย
ดีสักเท่าไหร่ เขาเลยคิดจะพาเธอกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อให้เธอได้นอนพักฟื้นอีกสักสองสามคืน
แม้ว่าเขาจะแต่งงานกับเธอโดยที่ไม่ได้รักแบบชู้สาว
แต่โม่กวนหยางก็รักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง อีกทั้งเขายังมีหน้าที่เป็นสามีที่จะต้องดูแลภรรยา จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นห่วงและเอาใจใส่เธอ
“ฉันหายป่วยแล้วจริง ๆ ค่ะพี่กวนหยาง ว่าแต่พี่เถอะ
มาแบบนี้ที่ร้านเขาไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
หญิงสาวตอบสามีอย่างอ่อนโยนและถามกลับไปอย่างเป็นห่วง เพราะเธอจำได้ว่าสามีนั้นทำงานอยู่ที่ร้านขายของในเมือง หากออกมาในเวลางานแบบนี้ คงจะถูกหักค่าแรง หรือไม่ก็คงจะถูกตำหนิแน่นอน
“ไม่เป็นอะไรหรอก เถ้าแก่ก็ได้แต่บ่นนั่นแหละที่ผมลางานกะทันหัน ร่างกายของคุณสำคัญที่สุด เรื่องอื่นช่างมันเถอะ อย่างไรเดี๋ยวบ่ายนี้ผมจะลองขึ้นเขาสักหน่อย เผื่อจะได้สัตว์ป่ามาทำอาหารเย็นให้คุณกิน คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบออกไป และไม่วายถามถึงความต้องการของเธอ
โม่กวนหยางรู้ดีว่าภรรยานั้นไม่ค่อยชอบกินผักสักเท่าไร แม้กระทั่งเนื้อปลาเธอยังไม่ค่อยจะกินเลย ทุกครั้งที่ต้องทำอาหาร เขาจะต้องไปหาเนื้อหรือว่าต้องซื้อเนื้อเข้ามาตลอด
“ฉันอยากกินต้มปลาค่ะ เดี๋ยวกลับไปถึงหมู่บ้าน เราไปจับปลาที่ลำธารสักหน่อยดีไหมคะ”
