บทที่สอง ภรรยาผู้น่าสงสาร (เหรอ?)
วันรุ่งขึ้น ซูเมิ่งได้รับข่าวใหญ่ที่ทำเอาช็อก มิใช่สิภาษาของคนที่นี่คงเรียกว่าตื่นตะลึงต้อนรับยามเช้า จิวซือบ่าวสาวใช้ของนางที่ติดตามมาตั้งแต่จากบ้านนอกวิ่งหน้าตาแตกตื่นเข้ามาหานางเพื่อแจ้งข่าว
สามีที่ออกปากไล่นางเมื่อคืนบัดนี้ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เข้าร่วมสงครามและขบวนกองทัพได้ออกเดินทางไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
ยามอิ๋น กระมังเห็นว่ามีคนบอกกันเช่นนั้น
เฮ้อ ท้ายที่สุดแล้วซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นก็รู้ข่าวเป็นคนสุดท้าย
ดียิ่งนัก!
ซูเมิ่งจมอยู่กับความคิดของตนเองทันที เพราะสถานการณ์เช่นนี้ราวกับสวรรค์ต้องการให้รางวัลแก่นาง แผนการต่างๆที่วาดฝันไว้ดูเป็นไปได้ในเวลาอันใกล้
ซูเมิ่งแทบอยากกระโดดตีอกชกอากาศด้วยความดีใจ ทว่านางเพียงทำได้แต่ในใจเท่านั้น เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่านางบ้าเอาได้
“ฮูหยิน อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ นายท่านอาจเร่งรีบจนไม่มีเวลาชี้แจงด้วยตัวเอง”
“....”
ใบหน้านางแสดงอาการเศร้าสร้อยหรือ ซูเมิ่งหันมามองสาวใช้ผู้ภักดีของตนเองฉงน ทว่านางก็มิได้เอ่ยแก้ตัวอันใดออกไปเพราะในความเป็นจริงซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นสมควรรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ขณะนี้นางกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางน้ำของจวนตระกูลหยางอันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่ ซูเมิ่งเหลือบตามองไปข้างหน้าบังเอิญเห็นว่าที่ต้นเสาไม่ไกลมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนหลบมุมแอบดูพวกนางอยู่
ดูจากเครื่องแต่งกายเหมือนเป็นสาวใช้ของเรือนท่านแม่
ท่านแม่ในที่นี้คือหยางเซียง ฮูหยินใหญ่ของตระกูลหยางคนปัจจุบัน ซึ่งก็คือภรรยาของประมุขตระกูล หยางสือ บิดาของสามีนาง
ซูเมิ่งรู้ว่าหยางเซียงมิใช่มารดาที่แท้จริงของหยางเหวิน เป็นแม่เลี้ยงเพราะมารดาของชายหนุ่มเสียชีวิตไปนานแล้ว
นางส่งคนมาคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของลูกสะใภ้ทำอันใด
หรือเป็นคำสั่งของประมุขตระกูลที่ไม่ไว้ใจนางซึ่งเป็นคนของศัตรูให้อยู่ตัวคนเดียว
ไม่น่าใช่ หากเป็นเช่นนั้นจริงส่งทหารมากฝีมือมาติดตามนางโดยไม่ให้รู้ตัวมิดีกว่าหรือ
โอ๊ย มิรู้แล้ว ซูเมิ่งไม่อยากคิดเรื่องราวพวกนี้ให้ปวดหัว
พอนางรู้ว่ามีคนจับตามองเช่นนั้นซูเมิ่งจากที่ตอนแรกนั่งนิ่งยามได้ฟังข่าวของสามีนางเปลี่ยนเป็นฟุบหน้าลงกับสองมือตนเองแสร้งเป็นคร่ำครวญร้องไห้จนไหล่สั่น
“ฮึก ท่านพี่ใจร้ายยิ่ง”
“ฮูหยิน ฮึก อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ”
“ฮึก ข้าเสียใจยิ่ง ท่านพี่มิเอ่ยบอกข้าแม้เพียงสักคำหนึ่ง”
“ฮึก คุณหนูของบ่าว”
จากนั้นสองนายบ่าวที่นั่งอยู่ในศาลาก็กอดกันกลม ในสายตาของคนภายนอกที่เดินผ่านมาเห็นหรือแม้กระทั่งคนที่แอบมองอยู่นั้น
ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารยิ่ง
แต่งภรรยาเข้าจวนมาเพียงวันเดียวก็ทอดทิ้งออกไปรบเสียแล้ว
แถมเมื่อคืนเข้าหอบ่าวในจวนตระกูลหยางไม่มีใครไม่รู้ว่าฝ่ายชายนั้นเดินตึงตังออกมานอกห้องหอตั้งแต่ช่วงกลางคืน
“ข้ามิมีหน้าพบเจอผู้ใดแล้ว ฮึก จิวซือ”
“โถ่ คุณหนูของบ่าว”
สาวใช้ผู้มีอายุมากว่าเจ้านายของตนเองเพียงสองปียังอดหลั่งรินน้ำตาไม่ได้
ใครจะไปคิดว่าคนที่จวนแห่งนี้ล้วนมิต่างจากจวนตระกูลคุณหนู
ไยคุณหนูของนางจึงไร้วาสนาเช่นนี้
เกิดมาในตระกูลขุนนางสมควรมีชีวิตอย่างสุขสบาย ทว่ายังไม่ถึงห้าหนาวมารดาผู้เป็นฮูหยินรองตายลงพร้อมกับข้อหาคบชู้ หลังจากนั้นคุณหนูของนางก็มีชีวิตมิตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
ถูกส่งให้ไปตรากตรำอยู่บ้านนอกเพียงลำพังตั้งแต่เด็ก
ล่าสุดคิดว่าบิดาของเจ้านายนางคิดได้ว่าตนเองทอดทิ้งบุตรีผู้นี้มานานขนาดไหนจึงเรียกกลับจวนที่เมืองหลวง
แต่ใครจะนึกว่าแท้จริงแล้วเจ้านายของนางเป็นเพียงบุตรีที่โดนสาดออกจากจวนเพียงเพื่อรักษาตระกูลซูเอาไว้
“ไปเถอะจิวซือ ตัวข้าผู้นี้หาได้มีหน้าออกมาเจอผู้ใดอีก.... ตั้งแต่นี้ต่อไปหากมิมีเรื่องสำคัญได้โปรดอย่าเข้ามารบกวนข้าเลย ฮึก”
“โถ่ คุณหนูของบ่าว”
คนที่บอกว่าตนเองเสียใจยิ่งนักอย่างซูเมิ่งลอบยกยิ้มภายใต้ฝ่ามือของตนเองก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งมุ่งเดินลิ่วนำกลับเรือนของตนเองไปโดยทันที
ทิ้งไว้แต่เพียงบ่าวอีกคนที่ลอบฟังบทสนทนาอยู่ที่นางเองก็ยกยิ้มสะใจเช่นกัน เมื่อข่าวที่ตนเองกำลังเอาไปรายงานนั้นถือเป็นข่าวที่ดียิ่ง
ดูท่าพอตนรายงานไปปุบ เจ้านายตนเองอาจอารมณ์ดีถึงขนาดให้เบี้ยเป็นรางวัลก็เป็นได้
เพียงแค่คิด บ่าวตัวน้อยก็มือสั่นรอคอยรางวัลมิไหว นางจึงผละตัววิ่งกลับไปยังเรือนเจ้านายตนเองทันที
ส่วนทางฝ่ายซูเมิ่งที่พอเดินออกห่างจากศาลากลางน้ำมาไม่ถึงสิบก้าว จากที่เป็นสตรีตัวน้อยผู้น่าสงสารก็ผันเปลี่ยนท่าทาง ปลดมือที่ปิดหน้าลง รอยยิ้มบนใบหน้าเผยออกมาราวกับคนอารมณ์แจ่มใสมากกว่าสตรีที่โดนสามีทิ้ง
จิวซือที่บนหน้าตนเองยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เดินตามจ้องมองเจ้านายตนเองตาปริบๆ จนเดินกันถึงเรือนหลังเล็กที่โดนแม่สามีสั่งให้ย้ายมาอยู่ที่นี่แทนเรือนหลังใหญ่ของลูกชายตนเองตั้งแต่เช้าจิวซือก็ยังตามอารมณ์เจ้านายตนเองไม่ทัน
“อะ เอ่อ ฮูหยินของบ่าวยิ้มได้แล้วหรือเจ้าคะ”
“หืม....คิก จิวซือเจ้าสมองช้ายิ่งนัก ตามข้ามาข้างในห้องก่อนเดี๋ยวข้าแถลงไขให้สมองน้อยๆของเจ้าเอง”
“จะ เจ้าค่ะ”
“ปิดประตูลงกลอนด้วย”
“หืม เอ่อ แต่นี่ยังเช้าตรู่อยู่เลยนะเจ้าคะ”
“เถอะน่า”
“เจ้าค่ะ”
จิวซือมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามานางคิดว่าคุณหนูของนางอาจเสียใจจนผีเข้าผีออก สับเปลี่ยนอารมณ์จนนางตามไม่ทันเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรจิวซือก็จะอยู่รับใช้เจ้านายผู้นี้ของนางจนกว่าชีวิตน้อยนี้จะหาไม่แน่นอน
ฝ่ายซูเมิ่งพอบ่าวของตนเองเดินเข้ามานั่งรอรับคำสั่งของตนเองอย่างตั้งใจ หญิงสาวก็รีบชี้แจงตามแผนการที่สมองอันน้อยนิดนี้คิดออกมาได้ในเวลานี้
“เจ้ารักข้าหรือไม่จิวซือ”
