บทที่สอง ภรรยาผู้น่าสงสาร (เหรอ?) (ต่อ)
“เจ้ารักข้าหรือไม่จิวซือ”
“หะ หา ฮูหยินไยท่านถามเช่นนั้น ข้าน้อยรักและบูชาท่านยิ่งกว่าชีวิตของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิคิดลืมบุญคุณที่มารดาของฮูหยินเก็บขอทานอย่างข้าน้อยและแม่มาชุบเลี้ยงเจ้าค่ะ”
ไม่เพียงพรรณนาถึงความภักดียิ่งชีพของตน จิวซือโถมตัวลงไปกอดขาเจ้านายสาวของตนเองอย่างหวั่นวิตกเกรงว่าอีกฝ่ายจะคิดสั้นขึ้นมา
“ใจเย็นก่อนจิวซือ ข้าเพียงต้องการสอบถามความสมัครใจของเจ้าเท่านั้น....เฮ้อ พูดกันตามตรงคือ สิ่งที่ข้าจะทำต่อจากนี้ค่อนข้าง....เข้าใจยาก ถ้ามิอาจบอกเหตุผลให้เจ้าได้ ขอเพียงเจ้าเชื่อใจข้าและทำตามก็เพียงพอ”
“มิว่าเป็นสิ่งใดบ่าวจะทำตามคำสั่งคุณหนูทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ซูเมิ่งมองดูสายตามุ่งมั่นของอีกฝ่ายก็ยิ่งสบายใจ
“นับจากนี้ข้าจะเสมือนเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนหลังนี้ หากมิมีเรื่องสำคัญใดจริงๆเจ้าจงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาในเรือนของเราได้
ส่วนอาหารสามมื้อเจ้านำสำรับเข้ามาให้ข้าในเรือนอย่าได้ขาด หากใครขานเรียกเจ้าก็แสร้งปลอมน้ำเสียงเป็นข้า
จิวซือ เจ้าทำสิ่งเหล่านี้เพื่อข้าได้หรือไม่”
“ดะ ได้เจ้าค่ะ แต่ว่า....ไยฮูหยินจึงเอ่ยราวกับ....ท่านจะมิอยู่ที่เรือนเสียอย่างนั้น”
“ถูกต้อง ที่เจ้าพูดมามิผิด แต่ก็มิถูกเสียทีเดียว”
“คุ คุณนะ....ฮูหยิน มิได้นะเจ้าคะ หะ....”
“ไหนเจ้าบอกว่าจะทำตามที่ข้าสั่งอย่างไรเล่าจิวซือ”
“ตะ แต่....”
“ไม่มีแต่ จากนี้ไปข้าจะแอบออกไปข้างนอกบ่อยหน่อย แต่เรื่องที่ข้าออกไปข้างนอกจะต้องเป็นความลับมิสามารถให้ผู้ใดจับได้เด็ดขาด!”
หลายวันถัดมา
ณ เรือนน้ำชาในหอขายอาหารจวี๋ฮวาที่ซูเมิ่งในอาภรณ์แปลกตา บนใบหน้ากว่าครึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าโปร่งแสง
ที่เอ่ยว่าอาภรณ์แปลกตาคือปกติแล้วซูเมิ่งมักสวมใส่ชุดที่ตัดด้วยผ้าสีกลีบดอกบัว ปักทอด้วยลายดอกไม้ดูเรียบร้อยอ่อนหวานดั่งที่สาวใช้ของนางได้รับชุดมาจากเรือนใหญ่
ทว่าหลายวันมานี้ตั้งแต่ซูเมิ่งสามารถหาหนทางออกจากจวนตระกูลหยางโดยที่มิทำให้ผู้ใดรู้ได้แล้วนางผลัดเปลี่ยนเป็นชุดสีเข้มดูโตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่แท้จริงของนาง
นัยน์ตาสีเข้มวาววับยามนั่งฟังบทสนทนาของผู้คนที่แวะเวียนกันมาดื่มกินน้ำชาในร้านแห่งนี้ไม่ขาดสาย
เรือนน้ำชาในหอขายอาหารจวี๋ฮวาแม้ว่ามิใช่โรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงทว่านับเป็นแหล่งข่าวชั้นดีหมุนเวียนสดใหม่ทุกวัน เพราะที่แห่งนี้นับเป็นสถานที่รวมตัวของนักเดินทางจากทั่วทุกดินแดนที่เดินทางผ่านเข้ามาในเมืองหลวง
ดังนั้นซูเมิ่งจึงมีสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวันของนางซึ่งก็คือการเอาตัวเองมานั่งจุ่มอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าบางวันจรดเย็นเพื่อฟังข่าวความเป็นไปของคนที่นี่และคนนอกเมืองหลวง
หากให้เปรียบเทียบกับมิติเก่าของนาง การที่นางเอาเวลาตนเองมาทิ้งไว้ที่นี่ก็เหมือนการเปิดอินเทอร์เน็ตหรือเปิดโทรทัศน์ดูข่าว อัพเดทเทรนด์ของโลกนั่นเอง
สามวันแล้วที่นางทำเช่นนี้
ชั้นล่างของเรือนน้ำชาแห่งนี้เปิดให้ลูกค้าเข้ามาดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน เรียกได้ว่าไม่ว่าใครมาจากไหน รู้จักหรือไม่รู้จักกันก็สามารถนั่งร่วมโต๊ะกันได้
“พี่ชายผู้มาใหม่ท่านนี้เป็นใครมาจากไหนหรือ พอบอกนามได้หรือไม่ พอดีว่าข้ามาดื่มชาที่นี่ประจำแต่มิเคยเห็นหน้าท่านมาก่อนเลยสักครั้ง”
คนมาใหม่โดนทักทายอย่างเป็นมิตรตั้งแต่ก้นเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้
“ข้านามว่าซิ่นเฉิง เป็นคนของตระกูลลู่”
“ตระกูลลู่หรือ ตระกูลลู่ที่เมืองหลวงมีหลายตระกูลยิ่งนักมิทราบว่าตระกูลเจ้านายของท่านเป็นลู่ใดหรือ”
“ตระกูลลู่เจ้าของโรงรับจำนำที่มีสาขามากที่สุดในแคว้นเย่ ที่เมืองหลวงแห่งนี้ผู้คนจะรู้จักพวกเรากันในนามของโรงรับจำนำลู่เหลียน”
“อ้อ ข้านี่ตาต่ำจริง พี่ชายแม้เป็นลูกน้องยังแต่งตัวดีขนาดนี้ข้านี่คิดถึงตระกูลลู่อื่นได้เยี่ยงไร” ท่าทีคนพูดเปลี่ยนทันทีที่รู้ว่าตนเองกำลังคุยกับผู้ใด
โรงรับจำนำลู่เหลียนในเมืองหลวงแห่งนี้มีใครบ้างไม่รู้จัก มิใช่สิเอ่ยได้เลยว่ายังมีใครยังมิเคยไปใช้บริการอีกหรือ
นอกจากความหรูหราและความกว้างขว้างของโรงรับจำนำแห่งนี้แล้ว สถานที่แห่งนี้นับเป็นโรงรับจำนำที่เลื่องชื่อด้านความน่าเชื่อถือยิ่งนัก
แถมภายในมีรวงร้านในการปกครองอยู่หลายประเภท
เรียกได้ว่าหากเข้าไปในโรงรับจำนำลู่เหลียนแล้วกระหายน้ำก็สามารถแวะดื่มได้ที่โรงน้ำชาชั้นล่างสุด หากหิวข้าว เดินไปอีกนิดก็มีภัตตาคารร้านอาหารเปิดให้บริการอยู่
นับวันโรงรับจำนำแห่งนี้ยิ่งขยับขยายธุรกิจในเครือของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกค้าจึงมีตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปยันคนมีฐานะร่ำรวยมาใช้บริการกันไม่ขาดสาย
“มิแปลกหรอกน้องชาย ข้ามิถือ”
“ว่าแต่พี่ซิ่นเฉิงไยข้ามิเคยเห็นหน้าค่าตาท่านมาก่อนเลยสักครั้ง หากพูดไปก็อาจหาว่าข้าขี้โม้ คนยิ่งใหญ่อย่างพวกท่านข้ามิมีทางพลาดโอกาสพบเห็นได้ แถมข้ายังรู้ว่าอีกว่าคนของตระกูลลู่นั้นเจอตัวได้ยากยิ่ง นอกจากหลงจู๊ของโรงรับจำนำลู่เหลียนแล้วก็หาโอกาสพบหน้าได้ยากเย็นนัก”
“นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกเพราะตระกูลลู่นับเป็นตระกูลพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่มิแพ้ผู้ใดในแคว้นเย่ แต่เจ้านายของข้ามิได้มีรกรากตั้งถิ่นฐานที่เมืองหลวง ที่นี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในกิจการของตระกูลเจ้านายข้าที่นานๆทีจะเดินทางเข้ามาดูเท่านั้น”
“หืม ขอบคุณพี่ซิ่นเฉิงที่ให้ความกระจ่างแก่ข้าน้อย เช่นนั้นการที่ข้าพบท่านในวันนี้แสดงว่าเจ้านายของท่านเดินทางมาที่เมืองหลวงอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“ถูกต้อง เจ้าฉลาดมิน้อย”
ในขณะที่สองบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันทั้งหมดนั้นได้ไหลเข้าหูสตรีผู้หนึ่ง
ซูเมิ่งนั่งฟังเงียบเชียบอย่างเพลิดเพลินเช่นทุกที ทว่าหนนี้ในใจนางได้ยินกิตติมศักดิ์ของตระกูลการค้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลลู่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดอยากทำการค้าด้วย
ทว่านั่นเป็นเพียงความฝันลมๆแล้วๆในเวลานี้
เพราะสิ่งที่นางมีอยู่ในมือตอนนี้ยังเล็กน้อยเกินไปหากเทียบกับพวกเขาที่ย่อมมีคู่ค้าจำนวนมากต้องการยื่นข้อเสนอร่วมทำการค้าด้วย
เฮ้อ
ซูเมิ่งมองไปบนท้องฟ้าเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนกลางศีรษะผู้คน อันแสดงได้ว่ายามนี้น่าจะถึงยามอู่ อีกหน่อยที่เรือนน้ำชาแห่งนี้คงเต็มไปด้วยลูกค้ามากินอาหารมื้อกลางวันซึ่งมันจะเยอะมาก เสียงสนทนาจะตีกัน นางฟังไม่รู้เรื่องแน่นอนดังนั้นซูเมิ่งจึงตัดสินใจลุกออกจากที่นั่งตนเองและเดินออกจากร้านไป
