บทที่สาม ภรรยาเจอคนเป็นลม
ซูเมิ่งคาดว่าวันนี้น่าจะได้กลับจวนของตนเองเร็วกว่าปกติ เพราะวันนี้ผู้คนดูบางตากว่าทุกที
สงสัยอากาศร้อนอบอ้าวไม่มีลมพัดผ่านสักเท่าไหร่ ร้อนแบบมิใช่เพราะดวงอาทิตย์อย่างเดียว แต่คงเป็นเพราะความชื้นในอากาศเยอะจนเหงื่อบนร่างกายคนไม่ระเหย จึงสร้างความอึดอัดยิ่งนัก
เหมือนอากาศที่มักพบก่อนฝนจะตก
ผู้คนจึงพากันกลับบ้านหากเป็นไปได้กระมัง
ซุเมิ่งเองก็มิอยากเปียกฝนเดี๋ยวเป็นไข้หวัดแล้วจะสร้างความยุ่งยากในอนาคต
ดังนั้นฝีเท้าสองข้างจึงตัดสินใจเบนออกจากเส้นทางหลักของตลาดเลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางที่สามารถใช้เดินไปยังจวนตระกูลหยางได้เหมือนกันแต่ใกล้กว่า
หากแต่ใครจะไปคิดว่าการเดินเลี่ยงมาใช้ถนนเส้นที่มิค่อยเป็นที่นิยมสัญจรของชาวบ้านที่นี่จะทำให้นางได้มาเจอกับบุรุษร่างอ้วนตัวใหญ่มองไกลๆเหมือนบุรุษผู้นั้นนอนไร้สติอยู่บนพื้น ทว่านางเดินเข้าไปดูใกล้ๆพบว่าบุรุษปริศนาผู้นั้นยังมิได้สลบ
เพียงแต่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นคนเดียว
ซูเมิ่งเดินเข้าไปช่วยเหลือทันทีเมื่อเห็นคนกำลังต้องการความช่วยเหลือในที่เปลี่ยวไร้ผู้คนเช่นนี้
“ท่านตาเจ้าคะ เป็นอันใดมากหรือไม่เจ้าคะ”
“ชะ....ช่วย ด้วย ช่วยข้าด้วย”
“ท่านค่อยๆหายใจ”
สงสัยจะเป็นลมแดด....
แต่แปลก ไยจึงปล่อยคนแก่อายุมากเช่นนี้มาเดินในที่เปลี่ยวเช่นนี้คนเดียว
ดูจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็ดูมิใช่ชาวบ้านยาจกทั่วไป
ซูเมิ่งกวาดสายตามองรอบตัวเพราะต้องการหาคนช่วยเหลือเพิ่มอีกหนึ่งอัตรา
มิใช่ว่านางรังเกียจชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นดินสกปรกหรอกนะ ทว่าปัญหาติดอยู่ที่.....
ซูเมิ่งคาดการน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายด้วยสายตาก่อนจะก้มลงมองขนาดร่างกายของตัวเอง
บุรุษที่กำลังไร้สติทั้งอ้วนท้วนสมบูรณ์ยิ่งนัก ขนาดตัวหรือก็มีขนาดใหญ่กว่านางถึงสองส่วน
ซอยแห่งนี้แม้มิถือว่าห่างไกลจากโรงหมอก็จริง ทว่าซูเมิ่งตัวเล็กเกินไปที่จะแบกชายชราตัวใหญ่ผู้นี้
แต่....
ตัวเล็กแล้วอย่างไรจะให้วิ่งไปตามคนมาเกรงว่าจะไม่ทันการเสียก่อน เกิดวิ่งกลับมาแล้วชายชราผู้นี้หยุดหายใจขึ้นมา ชาตินี้ทั้งชาตินางมิต้องรู้สึกผิดไปตลอดหรอกหรือ
“เฮ้อ ข้าจะพยายามแบกท่านไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดนะเจ้าคะตาเฒ่า”
“ชายชราเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอ”
ซูเมิ่งเอ่ยถามขณะเดียวกันก็เหลือบตามองผู้ช่วยของท่านหมอในโรงรักษขนาดเล็กแห่งนี้กำลังจ่อสมุนไพรตัวหนึ่งที่มีกลิ่นแรงไปที่รูจมูกของชายชราอ้วนท้วนที่นางเกือบโดนทับแบนหลายรอบขณะแบกอีกฝ่ายมาที่นี่
“ร่างกายมิใช่คนแข็งแรง ชายชราผู้นี้มีโรคร้ายแทรกซ้อนมากมาย ทว่าอาการในเวลานี้มิเป็นอันใดมาก ที่เป็นลมคงเป็นเพราะนอนตากแดดร้อนเป็นเวลานาน ดูจากที่สะโพกมีรอยช้ำเล็กน้อยคงเป็นเพราะล้ม แต่มิได้ล้มอย่างแรง โชคดียิ่งมิใช่นั้นกระดูกคงหักเป็นแน่”
“โชคดียิ่งที่ข้าเดินผ่านไปแถวนั้น มิรู้ว่าลูกหลานของชายผู้นี้หายไปไหนหมดจึงทิ้งให้คนแก่ไปเดินโดดเดี่ยวคนเดียวเช่นนั้น”
“แม่หนู่เล่าเป็นอันใดบ้างหรือไม่ เหงื่อออกเต็มไปหมดหน้าตาซีดเซียวมิได้รู้สึกวิงเวียนใช่หรือไม่”
“ข้ามิเป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงใช้แรงมากไปเสียหน่อย พักสักหน่อยคงหายดี”
ดีที่ช่วงนี้นางออกกำลังกายโดยการเดินสำรวจเมืองหลวงแห่งนี้มาหลายวันไม่เช่นนั้นหากนางประพฤติตัวเหมือนสตรีในเมืองหลวงผู้อื่นมิแคล้วคงเป็นลมตามชายชราที่นางหวังช่วยเหลือไปแล้วกระมัง
“น้ำ” เสียงแหบแห้งดังออกมาจากด้านหลังพวกนางที่กำลังสนทนากันอยู่
เป็นเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากปากของคนป่วยนั่นเอง
“นี่น้ำขอรับ ค่อยๆดื่มขอรับ” ผู้ช่วยของท่านหมออยู่ใกล้ที่สุดจึงเป็นคนคอยยกน้ำให้คนป่วยดื่ม
พอหายกระหายน้ำดวงตาสีดำสนิทจึงกวาดมองรอบห้องที่ตนเองนอนพักอยู่
ภาพความทรงจำล่าสุดเขากำลังนอนตากแดด จะลุกก็ไร้เรี่ยวแรงแบกน้ำหนักตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แถมยังรู้สึกว่าวันนี้ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้ากว่าปกติจนทำให้ดวงตาของตนเองพร่ามัวไปหมด
ดีที่มีแม่หนูคนหนึ่งเดินมาเจอ
ดวงตาอ่อนโยนสีดำสนิทมาหยุดอยู่ที่ร่างสตรีหนึ่งเดียวในห้องแห่งนี้ที่แม้ใบหน้าครึ่งล่างนางถูกปิดด้วยผ้าโปร่งแสงแต่ก็มิสามารถปกปิดความงดงามสมบูรณ์แบบของเครื่องหน้านั้นได้เลยสักนิด
“ขอบน้ำใจแม่หนูที่ช่วยเหลือตาแก่แถมยังอ้วนเช่นข้า....ลำบากเจ้าแล้ว”
“แล้วลูกหลานท่านไปไหนกันหมดหรือเจ้าคะ ไยจึงปล่อยให้ท่านมาอยู่ที่นะ...นั่น”
“ท่านตา!”
สามคนภายในห้องพักผู้ป่วยขนาดเล็กหันไปมองต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง
บุรุษรูปงามหน้าตาทั้งหล่อและสวยหวานมิแพ้สาวงามใด บนตัวสวมใส่อาภรณ์สีคราม มองแต่เพียงแวบเดียวก็สามารถระบุได้เลยว่าเป็นผ้าไหมเนื้อดีที่หากเป็นคนไม่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ไม่มีทางซื้อมาใส่อย่างแน่นอน
“หนีออกจากบ้านเช่นนี้ พวกข้าเป็นห่วงยิ่งนัก ไยท่านจึงเป็นคนเช่นนี้กันตาเฒ่า”
มิใช่แค่เพียงหนึ่งคน ที่ด้านหลังของชายหนุ่มมีทั้งสตรีและบุรุษแต่งตัวเนื้อผ้าหรูหราเดินเข้ามาจนห้องคับแคบอยู่แล้วยิ่งดูแน่นเล็กลงขนัดตา
ไม่นานห้องทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงบ่นคนแก่ที่บัดนี้อยู่ในคราบผู้ป่วยดังระงมทั่วห้อง
ซูเมิ่ง ท่านหมอ และผู้ช่วยหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
สามปีผ่านไป
ในหอลู่เหลียนอันเป็นสถานที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเย่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงจึงนับเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนหอลู่เหลียนรู้จักกันในชื่อโรงรับจำนำลู่เหลียนทว่าในตอนนี้แปรผันไปแล้วเนื่องจากธุรกิจภายในโรงรับจำนำเติบโตอย่างรวดเร็ว รวงร้านที่อยู่ภายในโรงรับจำนำแทบเรียกได้ว่าขายดีลูกค้าเยอะแซงหน้าโรงรับจำนำฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอรวมการค้าที่ชื่อว่าหอลู่เหลียนแทน
และหนึ่งในร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมีลูกค้าแวะเวียนมาจำนวนมากทุกวันมิขาดสายคือร้านรักสุขภาพหลันฮวาที่มีเถ้าแก่เนี้ยโฉมงามปริศนาเป็นเจ้าของร้าน
“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังแผนการดูแลสุขภาพประจำปีของพวกเราชาวหลันฮวา”
