ตอนที่2 หาต้นทุน
อย่างไรก็แล้วแต่ หลิวชิงเหอคิดว่าพี่สาวของเธอคงได้คู่กับพระเอกของเรื่องอย่างแน่นอน คนที่เป็นลูกรักนักเขียนอย่างหลิวเหลียน แทบไม่ต้องพยายามอะไรให้มากมายนัก แต่ไม่ใช่สำหรับตัวประกอบที่จืดจาง แทบจะไม่มีตัวตนในเรื่องนอกจากช่วงแรกๆ แต่สิ่งที่หลิวชิงเหอต้องการไม่ได้อยากจะเป็นตัวละครที่เด่นจนเป็นที่สะดุดตา แต่เธอต้องการตัวร้าย ตัวร้ายที่นางเอกของเรื่องไม่เคยต้องการคนนั้น
ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องคำนึงถึงมากที่สุด นั่นคือการหาเงิน เพราะการอยู่และใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการรอเงินเพียงน้อยนิดจากพ่อแม่ มันคงจะทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้ค่ามากเกินไป แม้ว่าร่างนี้จะไม่มีต้นทุนอะไร แต่อย่าลืมว่าเธอมีสมองที่เก่งด้านการค้าติดมาด้วย
หลิวเหลียนมองน้องสาวที่อาสาออกไปซักผ้าแทนตนเอง ทั้งที่ปกติอย่างคาดหวังว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ก๊อกน้ำหลังบ้านเป็นจุดเดียวที่สามารถใช้น้ำได้ ทุกคนในบ้านก็จะอาบน้ำที่ตรงนี้ด้วย ส่วนที่ไม่ไกลกันก็จะเป็นห้องน้ำเล็กๆ ที่ไว้สำหรับการปลดทุกข์สำหรับคนในบ้าน
ผ้าสำหรับการซักของทุกคนในบ้าน ค่อนข้างที่จะมากไปสักนิด แต่หลิวชิงเหอคิดว่าหากงานในบ้านเสร็จทุกอย่างหลังจากที่ตนเองตากผ้าแล้ว เวลาที่เหลือหลังจากนี้ จะได้รีบออกไปสังเกตตลาด ในการหาเงินของตนเอง
ในเนื้อเรื่องอกเมืองที่เธออยู่ เป็นเมืองที่รุ่งเรืองด้านการค้ามากที่สุดแล้ว ไม่ว่าสิ่งของอะไรก็จะค้าขายได้ไม่ยากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเมืองอื่นที่อยู่ไม่ไกลกัน
มือบางสลัดน้ำออกจากผ้า ก่อนที่จะตากทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้ซักผ้าด้วยมือมานานมากแล้ว ไม่คิดว่าการซักผ้าหนึ่งครั้ง จะทำให้เธอเปียกไปทั้งตัวเช่นนี้
"ฉันจะออกไปข้างนอกนะ ฉันซักผ้าเสร็จแล้ว"
หลิวเหลียวชะโงกหน้าดูผ้าที่ผ่านการตากอย่างเป็นระเบียบ เสี่ยวชิงเหอที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยทำงานอะไรเรียบร้อยสักอย่าง ท่าทีเร่งรีบของน้องสาว ทำให้เธอตอบรับไปอย่าอัตโนมัติ
เสื้อผ้าของร่างเดิม มีแต่เสื้อผ้าที่ดีๆ ถ้าเทียบกับเด็กสาวคนอื่นๆ นับว่าเธอกับพี่สาวจัดว่าเป็นเด็กที่โชคดีมาก ที่จริงในห้องมีกระจกเล็กๆ อยู่ หลังจากที่ส่องกระจก ทำเอาเธอเผลอร้องอุทานขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
เห็นว่าแม่นางเอกของเรื่องหน้าตาดีแล้ว รู้อยู่หรอกว่าพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน อย่างไรร่างเดิมก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินไปนัก แต่ไม่คิดว่าเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ จะเป็นแค่ตัวประกอบที่นางเขียนบรรยายแค่ว่าหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่ ก็ใช่น่ะสิ ไม่ได้ขี้เหร่ แถมยังสวยมากขนาดนี้
ร่างเดิมไม่ค่อยพิถีพิถันในการแต่งตัวมากเท่าไหร่นัก ยามปกติที่มัดผมเอาไว้หลวม ๆ สวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายก็ออกจากบ้านแล้ว ทั้งที่พ่อแม่ซื้อเสื้อผ้าทุกอย่างให้เหมือนกันกับพี่สาวทุกอย่าง
หลิวชิงเหอเลือกชุดกระโปรงสีหวานออกมาจากตู้เสื้อผ้าหนึ่งชุด ในห้องไม่มีอะไรที่ใช้แต่งหน้าได้นอกจากแป้งฝุ่นกระป๋องหนึ่งเท่านั้น เอาเถอะ ถือว่าอย่างน้อยไม่ต้องออกจากบ้านไปอย่างหน้ามันเยิ้ม นั่นก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะ
เธอถักเปียสองข้างได้อย่างน่ารัก แค่ทาแป้งให้หน้ามันน้อยลง และก็พร้อมออกจากบ้านแล้ว ระหว่างที่เดินออกจากบ้านปู่กับย่าของร่างเดิมก็มองหลานสาวอย่างหลิวชิงเหออย่างมึนงง วันนี้เหมือนว่าเสี่ยวชิงเหอจะเปลี่ยนไปมากเอาการอยู่ แต่การที่หลานสาวเปลี่ยนมาใส่กระโปรงสีหวาน กับถักเปียสองข้างแบบนั้น ก็ค่อนข้างที่น่ารักสมวัยอยู่พอสมควร
"เสี่ยวชิงเหอ นั่นหลานกำลังจะออกไปไหน"
คนเป็นย่าเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก อย่างไรตอนนี้ก็เพิ่งจะผ่านการปิดเทอม และตอนปกติ หลานสาวมักจะไม่ออกไปไหน เว้นเสียจากเสี่ยวเหลียน ที่คู่หมั้นมักจะเข้ามารับไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงวันหยุด
"ฉันจะลองออกไปหางานทำดูค่ะ ก่อนถึงวันเปิดภาคเรียนจะได้มีเงินซื้ออะไรนอกเหนือจากที่พ่อกับแม่ซื้อให้บ้าง หนูแค่รู้สึกว่าโตแล้วควรที่จะช่วยเหลือตัวเองให้ได้บ้าง"
หลิวเหลียนเดินออกมาจากห้องนอนพอดี หลิวชิงเหอมองตาพี่สาวเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป อย่างไม่สนใจอะไรเท่าไหร่นัก แค่ไม่มีความคิดที่จะแย่งพระเอกของเรื่อง ก็คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหากับพี่สาวแล้ว ลูกรักนักเขียนทั้งสองคนก็ควรจะคู่กันไม่ใช่หรือยังไง
ไม่รู้ว่าจะค้าขายอะไรสักอย่างดี คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จนกระทั่งเหลือบสายตาไปเห็นร้านเครื่องประดับ แต่ว่ามาขายในเขตแบบนี้ มันจะขายได้ง่ายอย่างไร ซ้ำยังเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างที่จะล้าสมัย มองไปตรงไหนก็ไม่มีส่วนไหนที่คิดว่าสวมใส่และสวยงามเลยสักนิด อย่างเช่นกิ๊บดอกไม้ใหญ่ๆ แบบนั้น
แค่คิดลงบนผม ก็แยกไม่ออกแล้วว่าไหนดอกไม้ ไหนหน้าของคน เธอมีความคิดที่จะทำกิ๊บติดผมขึ้นมาเอง แต่ตอนนี้ในตัวเงินแค่สิบหยวนที่ได้มาจากวันเกิดปีนี้ แค่คิดจะทำก็รู้ว่ามีต้นทุนไม่เพียงพอแล้ว
"พี่สาวคะตอนนี้ขายของไม่ได้อยู่ใช่หรือเปล่าคะ เอาอย่างนี้หรือเปล่าให้ฉันช่วยขายดีไหมคะ"
แม่ค้าสาวมองเด็กสาวที่แต่งตัวได้อย่างน่ารัก ใบหน้าเองก็สวยไม่มีที่ติเข้ามาเสนอตัวช่วยขายของเธอ แน่นอนว่าเครื่องประดับเหล่านี้เธอขายมันมาร่วมสองเดือนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจขาดทุนก็ได้ ถ้าสาวน้อยคนนี้ช่วยขายออกไปได้ ก็ไม่เลวนัก
"เอาสิ ถ้าหากเธอขายมันได้ฉันให้ชิ้นละห้าเหมา ราคาสินค้าอยู่ที่ตัวละห้าหยวน"
อย่างนี้ก็เท่ากับว่าถ้าหากเธอขายของสองชิ้นก็จะได้ค่าตอบแทนหนึ่งหยวนแล้ว กิ๊บดอกไม้ที่ไม้ใหญ่ขนาดนี้ คนใช้งานน่าจะเป็นนักแสดงละครเวที ที่อยู่อีกด้านของเมือง เธอตัดสินใจลองยืมรถแม่ค้า แต่ทว่าสำหรับคนแปลกหน้าแล้วเหมือนจะเป็นการไว้ใจที่ยากสักหน่อย การที่อีกคนลังเล หลิวชิงเหอไม่ได้คิดจะต่อว่าแม่ค้าสาวเลยสักนิด เพราะหากเป็นเธอเองก็คงเป็นแบบนี้ไม่ต่างกัน ระหว่างคนสองคนในตอนนี้ เป็นแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้น
"เอาอย่างนี้ ให้ฉันพาเธอไปที่นั่นเถอะ ทางนี้ก็เก็บร้านไป"
หลิวชิงเหอเห็นด้วย เพราะอย่างไรพื้นที่ตรงนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นทำเลที่ดีเท่าไหร่นัก ซ้ำกิ๊บติดผม เครื่องประดับที่ดูอลังการเอาเสียขนาดนี้ คนปกติที่ใช้ชีวิตประจำวัน คงซื้อไปใช้งานยากพอสมควร
"เธอปั่นจักรยานเป็นหรือเปล่า"
"ได้ค่ะ พี่สาวนั่งดีกว่า ฉันจะพาสินค้าของพี่สาวไปขายอีกด้านหนึ่ง"
หลังจากที่นั่งสงบตามที่เด็กสาวบอกไม่นานก็ถึงโรงจัดแสดงละครเวที วันนี้มีปัญหาเครื่องประดับไม่ครบจำนวนคนพอดี หลังจากที่ทั้งสองคนเริ่มปูผ้าจัดของได้ไม่นาน นักแสดงก็พากันออกมาซื้อเครื่องประดับแบบไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยสักนิด กิ๊บติดผมหมดไปอย่างแรก สร้อยคอที่มีดอกไม้ประดับก็หมดตามไป เพียงไม่นานร้านก็ว่างเปล่า
แม่ค้าเครื่องประดับมองเด็กสาวที่ขายสินค้าอย่างยิ้มแย้มด้วยความมึนงง สินค้าที่ตอนแรกเธอคิดว่าจะขาดทุนไปแล้ว ตอนนี้กลับขายหมดเกลี้ยงไม่มีแม้แต่เครื่องประดับหลงเหลือสักชิ้น
"น้องสาวเธอทำได้อย่างไร"
"ฉันแค่เห็นว่าเครื่องประดับของพี่สาว หากขายให้คนทั่วไปน่าจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่หากในที่แบบนี้มันจะเป็นที่ต้องการของคนซื้อมากกว่าค่ะ แต่ต่อไปฉันแนะนำว่าพี่สาวอย่ารับของแบบนั้นมาขายอีก มันขายได้ยากแล้ว"
จะไม่ยากได้อย่างไร แม้วันนี้จะขายได้หมด ไม่ได้หมายความว่ารอบต่อไปจะขายมันได้อีก สินค้าสามสิบชิ้นที่ขายไป หลิวชิงเหอได้ค่าจ้างมาสิบห้าหยวน นับว่าเป็นการหาเงินได้อย่างว่องไว ซ้ำยังไม่ต้องมีต้นทุนอะไรอีก
"เข้าใจแล้ว นี่เงินส่วนแบ่งของน้องสาว ว่าแต่น้องสาวชื่ออะไร พี่สาวชื่อกู่ชิง"
แม่ค้าสาวแนะนำตัว พลางยื่นเงินยี่สิบหยวนให้แก่สาวน้อย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะตกลงไว้แค่ห้าเหมาต่อชิ้น ทว่าหากไม่ได้สาวน้อยคนนี้ ตนเองคงไม่สามารถขายสินค้าออกไปได้เลยสักชิ้น
"ฉันชื่อหลิวชิงเหอค่ะ แต่ส่วนแบ่งของฉันแค่สิบห้าหยวนไม่ใช่หรือคะ"
หลิวชิงเหอรับเงินมาอย่างมึนงง พี่สาวที่ชื่อกู่ชิง ยิ้มกว้าง ก่อนที่จะบอกว่าให้เธอทั้งยี่สิบหยวน ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องปฏิเสธ เพราะว่าตอนนี้เธอต้องการเงินอย่างเร่งด่วน หลังจากที่แยกทางกับพี่สาวคนนั้น หลิวชิงเหอไปที่ร้านตัดผ้า เธอเห็นว่าเศษผ้าที่แม่ค้าทิ้งเอาไว้แถวกองขยะหน้าร้านไร้ซึ่งคนเหลียวแล แม่จะเก่งด้านการค้า แต่งานฝีมือของเธอก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน
"คุณน้าคะ เศษผ้าหน้าร้านหากคุณน้าไม่ต้องการฉันขอนะคะ"
"ได้สิ ฉันจะใส่ถุงให้"
เพราะแม้สาวน้อยไม่ขอเศษผ้าพวกนั้น เป็นเธอที่ต้องนำมันไปทิ้งที่กองขยะด้านนอกอยู่ดี หลังจากที่ขอเศษผ้ากับซื้อชุดเข็มและเส้นด้ายมาพอสมควร ต่อไปสิ่งที่หลิวชิงเหอต้องการนั่นคือกิ๊บเป๊าะแปะ
หากซื้อเป็นกิโลอาจคุ้มกว่าซื้อเป็นรายตัว หลังจากที่ถามราคาแล้ว ก็ต้องถอนหายใจ กิ๊บเปาะแปะกิโลละสิบห้าหยวนเชียวล่ะ แต่อย่างไรเธอก็ต้องควักเงินจ่ายออกไปอย่างเจ็บปวด เงินที่ได้มาในวันนี้ถูกจ่ายออกไปหมดแล้ว
"ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร"
ตงซานเอ่ยถามคนสนิทอย่างอยากรู้ ผู้หญิงที่มีใบหน้าน่าสนใจคนนั้น ปกติแล้วเขาไม่ค่อยสนใจผู้หญิงมากเท่าไหร่ แต่ท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว รวมกับใบหน้าที่น่ามองของอีกฝ่าย ทำให้ตนสนใจขึ้นมาบ้าง
"น่าจะเป็นน้องสาวของคู่หมั้นคุณโจวหลานครับ"
รอยยิ้มร้ายกระตุกขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่าคู่หมั้นของสหายเก่าคนนั้นดูดีไม่น้อย ครั้นมาเห็นคนที่เป็นน้องสาวที่น่าสนใจกว่าอย่างนี้ เหมือนว่าเป้าหมายครั้งนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
เขากับโจวหลานเคยเป็นสหายกันมาก่อน ซึ่งมันไม่ใช่ตอนนี้ คนที่ทรยศหายแบบนั้น มันไม่คู่ควรกับการเป็นสหายกับเขาหรอก
"ไปสืบมา"
"ครับ"
ตงซานเป็นผู้ชายที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เขาสามารถดำเนินธุรกิจและบริหารทุกอย่างออกมาได้อย่างเป็นระเบียบ เพียงไม่นานเขาก็เป็นบุคคลที่มั่งคั่งคนหนึ่ง และในอนาคตจะรุ่งเรืองมากกว่านี้
