ตอนที่ 4 หน้าที่สำคัญ
“พี่เลี้ยงหรือคะ” เธอทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่งุนงง เธอขอตำแหน่งที่บริษัทแต่เขากลับเสนอตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็กให้
“สาวใช้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงกำลังจะลาออกไปในสิ้นเดือนนี้ ตำแหน่งเดียวที่ขาดคือพี่เลี้ยงของลูกผม ถ้าคุณไม่รับข้อเสนอก็เรียกเงินค่าชดเชยมา” เขาถามย้ำอีกครั้ง หากเธอจนตรอกจริงงานไหนก็ต้องรับเอาไว้
จ้าวหลันเฟยกำลังจะแสดงท่าทีไม่พอใจแต่ก็สงบลงเมื่อนึกได้ว่า อย่างไรเสียตนก็ไม่มีที่ไปแล้ว สู้รับข้อเสนอเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะรับงานตำแหน่งพี่เลี้ยง” คำตอบของเธอทำให้เฉินอี้เซียวมองด้วยสายตาที่ประหลาดใจ ไม่คิดว่าเธอจะยอมรับตำแหน่งพี่เลี้ยงที่ไม่ต่างจากสาวใช้ของบ้าน
ชุดที่เธอสวมใส่ก่อนหน้านี้ก็มีความทันสมัยเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ รวมไปถึงเสื้อสีขาวสะอาดตาที่คลุมทับมา ราวกับว่าเธอมีอาชีพอะไรที่เกี่ยวกับงานเฉพาะทางบางอย่างที่ต้องใช้ความชำนาญ แต่อยู่ดี ๆ เมื่อเขาประชดให้ยอมรับตำแหน่งคนรับใช้ หญิงสาวกลับยอมง่าย ๆ เสียอย่างนั้น
“คุณต้องการอะไรกันแน่” คำถามนั้นทำให้จ้าวหลันเฟยขมวดคิ้ว ให้เป็นพี่เลี้ยงที่บ้านเธอก็ยอมแล้วเขายังจะคาดคั้นอะไรกับเธออีก
“ดูจากเสื้อผ้าของคุณก่อนหน้านี้ไม่เหมือนคนจะมาทำงานพี่เลี้ยงเด็ก บอกเหตุผลมาสิว่าทำไมผมต้องรับคุณมาทำงานที่บ้าน แล้วผมจะเชื่อใจให้คุณดูแลลูกของผมได้หรือ” เขาถามแล้วจ้องไม่วางตา
“คุณเป็นคนเสนองานนี้ให้ฉันเองนี่คะ ฉันไม่ได้ขอสักหน่อย” เธอพูดเสียงเบา แต่เมื่อเขาจ้องไม่ลดละแบบนั้นเลยต้องเงียบไป รู้สึกกดดันกับสายตาของเขามาก
ดูแล้วเขาคงไม่อยากรับเธอเข้ามาอยู่ด้วยง่าย ๆ ใครจะรับคนแปลกหน้าที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้านกันเล่า แล้วเธอจะต้องโกหกว่าเป็นใครดี อยู่ดี ๆ จะไม่มีทั้งที่อยู่และงานทำมันเป็นไปได้หรือ
“ฉันประสบอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ พอฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย มีเพียงแค่ชื่อที่ปักอยู่ตรงเสื้อคลุมนั่น ที่บอกว่าฉันชื่อจ้าวหลันเฟย ฉันเดินไปทั่วถามคนนั้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักฉัน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” พูดไปดวงตาเรียวคู่นั้นก็บีบน้ำตาไปด้วย บทคนความจำเสื่อมต้องมาในนาทีนี้ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะสอบถามประวัติของเธอไม่รู้จบ
“ความจำเสื่อม?” เขาทวนประโยคนั้น ปลายนิ้วก็เคาะลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองไปด้วยอย่างครุ่นคิดก่อนจะถามคำถามออกมาพร้อมกับหรี่ตามองเพื่อจับผิด
“ความจำเสื่อม... แล้วทำไมบอกว่าตัวเองเก่งเคมีฟิสิกส์อะไรทำนองนั้น”
“มันคงเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของฉันมั้งคะ ดูจากเสื้อคลุมที่ฉันสวมใส่ฉันก็เลยคาดว่าตัวเองน่าจะทำงานเกี่ยวกับการทดลองการวิจัยอะไรทำนองนั้น” เธอตอบคำถามเสียงเครือ เมื่อโกหกหนึ่งครั้งก็ต้องโกหกตามมาอย่างไม่สิ้นสุด
เฉินอี้เซียวมองเธออย่างไม่เชื่อในสิ่งที่พูด อะไรมันจะฟังเหมือนบทละครขนาดนั้น
“คุณเฉินได้โปรดเถอะค่ะ ฉันไม่มีที่ไป ไม่รู้จักใครที่นี่เลยสักคน ต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกที่ไม่รู้จักใครและไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง ไหน ๆ ฉันก็มีวาสนาได้พบเจอและช่วยลูกสาวคุณเอาไว้แล้ว ให้ฉันทำงานอยู่ที่นี่นะคะเป็นพี่เลี้ยงของเด็ก ๆ แล้วฉันไม่รับเงินเดือนก็ได้ขอแค่ที่พักและอาหารสามมื้อเท่านั้นก็พอแล้ว” เธอร้องไห้ออกมา แสดงละครฉากใหญ่เพื่อเอาตัวรอด
ข้อเสนอของเธอทำให้เขายิ่งประหลาดใจ ไม่ต้องการค่าตอบแทนในการทำงาน ขอแค่ที่พักและอาหารสามมื้อเท่านั้นเองหรือ
‘มีคนแบบนี้ด้วยหรือ’ เขาทวนคำถามนั้นอย่างชั่งใจ ในนาทีนี้ใครเล่าจะปฏิเสธลง สถานการณ์การเงินของเขาก็ใช่ว่าจะดีเสียเมื่อไหร่ อะไรประหยัดได้ก็ย่อมประหยัด อีกทั้งเธอเองก็ช่วยชีวิตลูกสาวเขาเอาไว้ แล้วเขาเองก็ยังไปทำร้ายเธอแบบนั้นด้วย เธอไม่เอาเรื่องก็ดีเท่าไรแล้ว
“ตกลงผมจะให้คุณทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนห้องพักก็ให้ป้าลู่จัดหาให้ก็แล้วกัน ส่วนเสื้อผ้า...” เขามองชุดของอดีตภรรยาที่เธอสวมใส่แล้วก็พ่นลมหายใจออกมา
“ก็ให้ป้าลู่หาเสื้อผ้าที่อยู่ห้องเก็บของชั้นบนมาให้เธอใส่ก็แล้วกัน ดูจากชุดนี้แล้วชุดอื่น ๆ เธอก็น่าจะใส่ได้พอดี” เขาพูดแล้วก็ดึงแฟ้มตรงหน้าออกมาเปิดดูต่อ
หญิงสาวกำลังจะอ้าปากถามเกี่ยวกับบริษัทของเขา แต่เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธอก่อน สายตาที่มองเธอบ่งบอกว่าไม่อยากให้เธออยู่ในห้องนี้ต่อ หญิงสาวจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น โค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของเขาไป อย่างน้อยก็มีที่ให้พักพิงในช่วงที่ยากลำบากนี้ เรื่องอื่นก็ค่อยเอาไว้ว่ากันในภายหลัง
เมื่อประตูเปิดออกป้าลู่ที่เอาหูแนบประตูอยู่ก็ถอยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแห้ง ๆ
“ป้าลู่คงได้ยินหมดแล้วใช่ไหมคะ” เธอถามพลางเช็ดน้ำตาที่ติดอยู่ที่หางตาออกไป
“ได้ยินแล้วค่ะ งั้นตามฉันมาทางนี้ ฉันจะพาไปที่ห้องพัก” ลู่หงบอกด้วยน้ำเสียงที่โล่งใจ นอกจากเธอจะไม่เรียกร้องและเอาเรื่องกับเจ้านายแล้ว ยังมาเป็นพี่เลี้ยงของเด็ก ๆ ช่วยเบาแรงตนไปได้ด้วย
“ห้องพักเมื่อครู่เป็นห้องพักของสาวใช้ที่ลาออกไปแล้ว คุณสามารถอยู่ในห้องนั้นได้เลย ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวฉันจะไปดูเสื้อผ้าคุณนายมาให้ เอ่อ หมายถึงอดีตคุณนายเฉินน่ะ ตอนเธอหย่ากับคุณเฉินเธอก็ขนเสื้อผ้าส่วนใหญ่ไปและทิ้งบางส่วนที่ไม่ใช้แล้วเอาไว้ ขนาดตัวก็ใกล้เคียงกับคุณน่าจะสวมใส่ชุดได้” ป้าลู่พูดถึงอดีตคุณนายด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไร
“แล้วเธอไม่กลับมาเยี่ยมลูก ๆ หรือคะ”
“ไม่เคยค่ะ ตั้งแต่ออกไปก็ไม่เคยกลับมาเยี่ยมคุณหนูทั้งสองเลยสักครั้ง เพราะอย่างนี้คุณหนูเล็กเลยถูกคนหลอกได้ง่ายเพราะคิดถึงแม่ วันนี้ที่เธอถูกลักพาตัวก็เพราะถูกหลอกว่าจะพาไปหาคุณแม่ของเธอ เฮ้อ เป็นเพราะฉันแท้ ๆ ที่ดูแลคุณหนูไม่ดี” พูดถึงเรื่องนี้ป้าลู่ก็โทษตัวเองไม่หยุด เพราะทั้งบ้านมีเธอกับเสี่ยวอิงทำงานอยู่สองคน เลยทำให้ละเลยคุณหนูเพราะคลาดสายตาไปชั่วขณะเท่านั้น
โชคดีที่มีคนเห็นจึงวิ่งตามไป เธอก็ให้เสี่ยวอิงโทรหาเจ้านายให้รีบกลับมาและอยู่บ้านเป็นเพื่อนของคุณชายน้อย ส่วนเธอก็ให้คนขับรถที่เป็นสามีพาเธอขับตามไปตามถนนและซอกซอย โชคดีที่จ้าวหลันเฟยช่วยคุณหนูเล็กเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคะ ตอนนี้คุณหนูเล็กเธอก็ปลอดภัยแล้ว ต่อไปมีฉันช่วยดูแลอีกคน ฉันจะช่วยสอนและกำชับเด็ก ๆ เองค่ะว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า” เธอปลอบใจลู่หงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“หลังจากนี้ป้าขอฝากด้วยนะคะ เสี่ยวอิงก็กำลังจะลาออกไป เดือนนี้เธอทำงานจนถึงสิ้นเดือน เดือนนี้คงไม่ลำบากนักแต่เดือนหน้าก็หนักหนาพอสมควร”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะป้าลู่” หญิงสาวบอกแล้วเดินตามป้าลู่กลับไปยังห้องพักของเธอ
ตอนนี้ขอแค่มีที่พักและอาหาร เธอก็อยู่ต่อไปได้อย่างไม่ลำบากนัก ส่วนเรื่องที่จะหาทางทำงานในบริษัทของเขาคงจะต้องใจเย็นเอาไว้ก่อน ค่อย ๆ แสดงความสามารถให้เขาเห็นทีละน้อย เพราะเธอเพิ่งบอกไปว่าความจำเสื่อม แล้วจะแสดงความสามารถออกมาในตอนนี้ก็คงจะไม่สมเหตุสมผลนัก
************************
