บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ผู้มีพระคุณ

ความเย็นที่กระทบกับผิวหน้าทำให้จ้าวหลันเฟยที่หมดสติอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เธอค่อย ๆ กะพริบตาปรับแสง แล้วมองเห็นหญิงวัยประมาณสี่สิบปีกำลังเช็ดใบหน้าให้เธออยู่

“ฟื้นแล้วหรือคะ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความนุ่มนวล จากนั้นก็ประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นนั่ง

“ฉันอยู่ที่ไหนคะ” เธอเพิ่งตื่นจึงยังเบลอ ๆ อยู่ว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือว่าอยู่ที่ไหนกันแน่

“ฉันชื่อลู่หง เรียกว่าป้าลู่ก็ได้ คุณอยู่บ้านสกุลเฉิน คุณเฉินให้หมอมาดูอาการคุณแล้ว เห็นว่าแค่อ่อนเพลียแล้วเป็นลมไป” ในขณะที่ฟังเธออธิบาย จ้าวหลันเฟยก็กำลังไล่เรียงความคิดไปด้วย พอจำเรื่องราวก่อนหมดสติได้ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมา

“อ่อนเพลียอะไรกัน ไม่ใช่ว่ามีคนตั้งใจจะบีบคอฉันให้ตายหรือคะ” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จนร่างอรชรเซเล็กน้อย แล้วลู่หงก็รีบประคองเธอเอาไว้

“คุณน่าจะยังไม่ได้กินอะไรมา ฉันเตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้ว กินข้าวให้อิ่มท้อง เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างสุภาพและใจเย็น หญิงสาวจึงยอมสงบลง

ใช่ เธอต้องกินอาหารให้อิ่มท้องก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงค่อย ๆ เดินตามป้าลู่ออกไปที่ห้องรับประทานอาหารด้านนอก

หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าเธออยู่ในชุดแบบดั้งเดิม ดูจากสีที่ฉูดฉาดแล้วคงไม่ใช่เสื้อผ้าของป้าลู่แน่ พลางคิดว่าคงเป็นชุดของภรรยาเจ้าของบ้านที่แม่บ้านวัยกลางคนเรียกเขาว่า ‘คุณเฉิน’

บริเวณทางที่เดินจากห้องนอนไปที่ห้องอาหารก็เดินผ่านห้องนั่งเล่นไป บ้านหลังนี้ใหญ่โตหากจะเรียกว่าคฤหาสน์ก็คงไม่ผิด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเฟอร์นิเจอร์จึงไม่ค่อยหนาตานัก

“อาหารมีเท่านี้ ไม่ทราบว่าคุณกินได้ไหมคะ” ป้าลู่ถามแล้วพยายามพูดเอาใจ ไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่สบายใจแล้วเอาเรื่องกับเฉินอี้เซียว เพราะเท่านี้เขาก็ย่ำแย่มากพอแล้ว

ธุรกิจที่กำลังทำก็ขาดเงินทุนเพราะไม่มีใครมั่นใจในธุรกิจเทคโนโลยี ภรรยาก็ขอหย่าเพราะกลัวจะล้มละลายไปด้วยกัน ทิ้งลูกแฝดชายหญิงให้เขาดูแลตามลำพัง ทรัพย์สินที่พอมีและต้องใช้ในการลงทุนจึงถูกแบ่งครึ่งหนึ่งให้แก่เธอไป แต่กระนั้นเธอก็ยังยอมรับทรัพย์สินนั้น ไม่สนใจว่าบริษัทสามีจะเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำยังไม่สนใจกลับมาดูแลลูก ๆ เสียด้วยซ้ำ

วันนี้เมื่อมีคนหลอกเฉินจินเจินว่าจะพาไปหาแม่ เด็กน้อยจึงยอมเดินตามไปอย่างง่ายดาย เฉินจินจ้านผู้เป็นพี่ชายผิดสังเกตและร้องให้คนช่วยเหลือ คนในบ้านจึงได้รีบตามออกไปและช่วยได้ทันท่วงที

ทรัพย์สินในบ้านก็ทยอยขายออกไป คนในบ้านเองก็ลาออกกันไปหลายคน บริษัทของเขาก็กำลังอยู่ในช่วงประคับประคอง ตนที่ดูแลเฉินอี้เซียวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็นึกสงสาร ตนกับสามีจึงยังคงอยู่รับใช้ ที่นี่ต่อไป แต่ไม่รู้ว่าจะทนได้นานอีกแค่ไหน เพราะสาวใช้คนสุดท้ายที่เหลืออยู่กำลังจะลาออกแล้ว

จ้าวหลันเฟยมองดูอาหารไม่กี่อย่างตรงหน้า เท่านี้ก็มากพอแล้ว เธอไม่ใช่คนกินยากอะไร

“ฉันกินได้ค่ะ” เธอบอกแล้วลงมือกินอาหารตรงหน้า เพียงไม่นานก็กินหมดด้วยความหิว

“ถ้ากินเสร็จแล้ว คุณเฉินอยากจะขอพูดคุยกับคุณค่ะ เอ่อ คุณ...”

“ฉัน จ้าวหลันเฟยค่ะ” เธอแนะนำตัวเอง พลางนึกว่าคุณเฉินที่ว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ทำร้ายเธอหรือไม่ เท่าที่จำได้ก่อนหมดสติไปป้าลู่ที่อุ้มเด็กหญิงคนนั้นเรียกเขาว่าคุณเฉิน

ลู่หงพาเธอเดินไปที่ห้องทำงานที่อยู่ด้านตะวันตกของคฤหาสน์ ทางเดินโล่งจนเหมือนบ้านร้างนี้ทำให้หญิงสาวนึกสงสัย

“ธุรกิจของคุณเฉินกำลังประสบปัญหา การเงินก็ไม่ค่อยมั่นคงนัก หากคุณจะเรียกร้องค่าเสียหายละก็เห็นใจเขาด้วยนะคะ” ป้าลู่พูดเสียงเบา พูดไปน้ำตาก็จะไหลไป จ้าวหลันเฟยจึงพอจะเดาได้ว่าที่ป้าลู่ทำดีด้วยที่แท้ก็เพราะกลัวเธอจะเรียกร้องค่าชดเชยนี่เอง

“เขาลำบากมากขนาดนั้นเลยหรือคะ” เธอถามแล้วมองไปรอบ ๆ บ้าน คิดว่าที่บ้านโล่งขนาดนี้ก็น่าจะจริงอย่างที่ป้าแม่บ้านบอก

“ค่ะ แล้วยังต้องเลี้ยงคุณหนูทั้งสองอีก พอคุณหนูเล็กถูกลักพาตัวคุณเฉินเลยโกรธมาก ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณแบบนั้น คุณจ้าวเองก็ดูเป็นคนดีและมีจิตใจที่งดงาม หวังว่าจะเมตตาคุณเฉินและคุณหนูทั้งสองด้วยนะคะ” ลู่หงบอกเสียงเบา ทำให้เธอรู้ว่าคุณเฉินคนนี้เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว

จ้าวหลันเฟยไม่ได้รับปาก เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกร้องมากแค่ไหน เพราะว่าค่าเงินในยุคนี้ต้องมีเงินเท่าไรจึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ป้าลู่เคาะห้อง พอมีเสียงอนุญาตจากคนข้างในเธอก็เปิดประตูออก จ้าวหลันเฟยก้าวเข้าไปในห้องนั้น ชายคนที่บีบคอเธอจนสลบเหมือดไปเพราะร่างกายขาดออกซิเจนกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า สายตาที่เขามองไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย

เฉินอี้เซียวมองชุดของอดีตภรรยาที่เธอสวมใส่พลางกัดกรามแน่น ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดทอดทิ้งไปในยามที่เขาลำบากที่สุด แล้วยังทิ้งลูก ๆ ไปอีก แค่เห็นข้าวของเธอเขาก็รู้สึกขุ่นมัวในใจแล้ว

“นั่งลงก่อนสิ” เขาพูดเสียงเรียบ ยกมือผายเชิญให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา

“ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณที่ช่วยเสี่ยวเจินเอาไว้ และอยากจะขอโทษที่ผมเข้าใจผิดคุณ แล้วพลั้งมือทำร้ายคุณลงไป” เขาพูดด้วยโทนเสียงที่ทุ้มต่ำ ท่าทางนั้นแฝงด้วยความหยิ่งผยอง นี่นะหรือคนที่น่าสงสารที่ป้าลู่พูดถึง เขาไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

“ค่ะ ฉันรับคำขอบคุณ และรับคำขอโทษของคุณเอาไว้” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารที่เกี่ยวกับโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“คุณต้องการค่าชดเชยเท่าไร ก็ว่ามาได้เลย” เขาถามเธอ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น แค่เห็นชุดที่เธอสวมใส่ก็รู้สึกทั้งเจ็บทั้งแค้น

“คุณทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี พัฒนาโปรแกรม อะไรพวกนั้นหรือคะ” เธอถามเขา ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาถามก่อนหน้านี้ พลางคิดว่าบริษัทเทคโนโลยีของเขานี่แหละคือทางออกของเธอ

“ใช่ ทำไม จะเรียกร้องค่าชดเชยต้องดูบริษัทของผมประกอบการตัดสินใจด้วยหรือ” เขาตอบด้วยความหงุดหงิด เธอคงคิดว่าเขามีธุรกิจส่วนตัวแล้วจะคิดค่าเสียหายจำนวนมหาศาลสินะ ผู้หญิงสมัยนี้ทำไมเห็นแก่เงินกันนักนะ

“ฉันจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากคุณ แต่ฉันจะขอทำงานกับคุณแทนแบบนี้ได้หรือเปล่า” เธอถามเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่มีความหวัง น้ำเสียงดูกระตือรือร้นมากกว่าจะเป็นการพูดเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร

“ทำงาน?”

“ค่ะ ฉันอยากทำงานที่บริษัทของคุณ ฉันมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งเคมี ฟิสิกส์ และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี สามารถช่วยเหลืองานของคุณได้อย่างแน่นอน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

เฉินอี้เซียวกระตุกยิ้มที่มุมปากพร้อมกับส่ายศีรษะ “คิดจะเข้าหาผมด้วยวิธีนี้ จะบอกเลยนะว่าผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรให้คุณมากอบโกยเงินได้หรอกนะ”

จ้าวหลันเฟยอ้าปากค้าง นี่เขาคิดอะไรของเขาอยู่ เธอนะหรือจะอยากเป็นผู้หญิงของเขา

“ฉันแค่ตกงานและไม่มีที่ไป เลยอยากจะทำงานกับคุณแทนที่จะเรียกร้องเงินชดเชยเท่านั้น ทำไมต้องคิดไปไกลขนาดนั้นด้วยคะ” เธอพูดแล้วชักสีหน้าใส่เขา ก่อนจะลดท่าทีลงเมื่อนึกได้ว่าไม่มีทางไป

“งานเดียวที่คุณจะช่วยทำได้ คือพี่เลี้ยงของลูกผม หากตกลงก็เริ่มงานได้ หากไม่ตกลงก็บอกมาว่าอยากได้เท่าไร” เขาถามประชด รู้ว่าอย่างไรเธอก็คงมีลูกเล่นบางอย่างแน่ ทุกวันนี้ใครกันไม่ต้องการผลประโยชน์ให้ตัวเอง

************************

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel