ตอนที่ 5 บ้านสกุลเฉิน
ในตอนเช้าจ้าวหลันเฟยถูกเสี่ยวอิงปลุกขึ้นมาให้มาช่วยงานในครัว คฤหาสน์หลังใหญ่นี้มีคนอาศัยอยู่เพียงไม่คนเท่านั้น คือ เฉินอี้เซียว ลูก ๆ ของเขาสองคน ลู่หงและกู่เหยียนสามีของเธอที่เป็นคนขับรถ กับเสี่ยวอิงที่กำลังจะลาออกไป และอาหมิงคนสนิทของเฉินอี้เซียวที่เป็นลูกน้องคนเดียวที่ยังเหลืออยู่
“ทุกเช้าคุณจะต้องตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าของคุณหนู ตามตารางที่คุณเฉินทำเอาไว้ ทำความสะอาดห้องนอนของคุณหนู แล้วก็ดูแลเรื่องเสื้อผ้า พูดง่าย ๆ ก็คือดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูทั้งสอง ส่วนหน้าที่หุงข้าวและทำกับข้าวของคุณเฉิน การความสะอาดห้องนอนของและห้องทำงาน รวมถึงนำเสื้อผ้าลงมาซักทำความสะอาด เป็นหน้าที่ของฉัน ส่วนการทำความสะอาดส่วนอื่น ๆ ของบ้านก็ช่วยกัน ในระหว่างนี้ที่เสี่ยวอิงยังอยู่ก็ช่วยกันไปก่อน” ป้าลู่อธิบายหน้าที่หลักของเธออย่างละเอียด รวมถึงบอกหน้าที่ของตนเองด้วย
“ค่ะป้าลู่ ป้าไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอกค่ะ เราก็ทำงานให้คุณเฉินเหมือนกัน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสุภาพ มองสาวใช้อีกคนที่กำลังหั่นผักไปด้วยใบหน้าที่ดูเศร้า น้ำตาของเธอกำลังไหลอาบแก้มพลางใช้แขนเสื้อยกเช็ดไปด้วย
“เป็นอะไรไป เดี๋ยวกับข้าวของคุณหนูก็เค็มหมดหรอก” ป้าลู่พูดเสียงเหมือนตำหนิ แต่แววตาเศร้าแล้วพลอยจะร้องไห้ตาม
“ฉันเป็นห่วงคุณหนูทั้งสอง ไม่รู้ว่าพอลาออกไปแล้วป้ากับพี่หลันเฟยจะดูแลเธอได้ไหม” เสี่ยวอิงพูดไปก็น้ำตาไหลไป พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้แต่ก็อดใจไว้ไม่อยู่
“งั้นก็อย่าลาออกสิ” ลู่หงพูดหยอกเย้าด้วยความใจหาย เข้าใจสถานการณ์ดีเพราะสาวใช้ที่ทำงานอยู่ที่นี่ทยอยลาออกกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เธอกับเสี่ยวอิงเพียงสองคนเท่านั้น
“ฉันก็รักคุณหนูและรักบ้านหลังนี้ แต่เงินเดือนถูกลดลงมาตั้งครึ่งหนึ่ง ฉันจะอยู่ได้อย่างไร แม้คุณเฉินจะให้สัญญาว่าถ้าธุรกิจเป็นไปได้ด้วยดีก็จะจ่ายส่วนที่เหลือให้ก็เถอะ แต่นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วนะป้าลู่ ครอบครัวฉันต้องกินใช้จ่าย ฉันจะต้องออกไปทำงานที่อื่นไม่อย่างนั้นตัวฉันเองก็จะเอาตัวไม่รอด” เสี่ยวอิงบอกด้วยเหตุผลของเธอ ซึ่งป้าลู่ก็พยักหน้าเข้าใจ
จ้าวหลันเฟยที่ยืนฟังอยู่ก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที บริษัทของเขาคงกำลังประสบปัญหาอะไรบางอย่างอยู่จริง มิน่าเล่าเมื่อคืนนี้ป้าลู่ถึงอยากให้เธอไม่ต้องเอาเรื่องเขา ที่แท้ก็เพราะว่าประธานหนุ่มผู้นี้มีแต่เปลือกนอก บ้านสกุลเฉินที่เป็นคฤหาสน์ใหญ่โตนี้ข้างในถึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากเท่าที่ควรมี
“เลิกร้องไห้ได้แล้ว รีบทำอาหารเข้าเถอะ” ป้าลู่พูดแล้วรีบเช็ดน้ำตาของตัวเองเช่นกัน
“ค่ะ” เสี่ยวอิงในวัยยี่สิบรับปาก จากนั้นก็เช็ดน้ำตาแล้วตั้งใจหันผักพร้อมกับเนื้อสัตว์ที่จะนำมาทำกับข้าวในวันนี้
หลังจากที่เสี่ยวอิงสอนให้จ้าวหลันเฟยทำกับข้าวของเด็ก ๆ เสร็จแล้ว ลู่หงก็สั่งงานแรกให้จ้าวหลันเฟยทันที
“หลันเฟย เธอไปปลุกคุณหนูทั้งสองได้แล้ว” ป้าลู่บอกด้วยรอยยิ้ม
“ปลุกคุณหนูทั้งสองหรือคะ” เธอหันมาถามแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอยังไม่รู้จักว่าห้องไหนเป็นห้องไหนเลย
“อ้อ จริงสิลืมไปว่าเธอเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวอิง เธอพาหลันเฟยขึ้นไปแนะนำห้องต่าง ๆ ที่ข้างบนหน่อยสิ เธอจะได้รู้ว่าห้องไหนเป็นห้องไหน”
“พี่หลันเฟย ตามฉันมาทางนี้” เสี่ยวอิงพูดด้วยรอยยิ้ม เชื้อเชิญให้พี่เลี้ยงคนใหม่ที่สวมชุดอดีตคุณนายเฉินให้เดินตามเธอไปยังชั้นสอง
เมื่อเดินผ่านบันไดขึ้นไปทางเดินก็จะแบ่งออกเป็นซ้ายและขวา เสี่ยวอิงพาเธอเลี้ยวไปทางด้านขวาพร้อมอธิบายไปด้วย
“ทางด้านซ้ายตอนนี้ไม่มีคนพักอยู่ เป็นห้องว่างซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกและห้องเก็บของ ส่วนด้านขวาเป็นห้องพักของคุณเฉินและคุณหนูทั้งสอง”
จ้าวหลันเฟยพยักหน้ารับแล้วมองไปรอบ ๆ เสียดายที่บ้านหลังนี้ใหญ่โตแต่ไม่มีอะไรมาเติมเต็ม มองไปทางไหนก็โล่งตาไปหมด
“ห้องแรกเป็นเป็นของคุณเฉิน ป้าลู่ต้องมาทำความสะอาดวันเว้น วันพุธและวันเสาร์จะต้องนำผ้าไปซัก หากไม่จำเป็นห้ามเข้าไปเด็ดขาด คุณเฉินไม่ชอบให้ใครยุ่มย่ามในห้องส่วนตัว” เธอแนะนำห้องใหญ่ที่เป็นห้องแรกของปีกขวาให้รู้จัก ก่อนที่จะเดินเลยไปยังห้องนอนห้องที่สอง
“ส่วนห้องนี้เป็นห้องนอนของคุณหนูทั้งสอง มี ประตูเชื่อมกับห้องนอนของคุณเฉิน ดังนั้นเวลาที่มาปลุกคุณหนูก็พยายามอย่าส่งเสียงดังมากเกินไป คุณเฉินไม่ชอบให้ใครส่งเสียงดังรบกวนเวลาพักผ่อน” เสี่ยวอิงอธิบายต่อแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
จ้าวหลันเฟยพยักหน้ารับฟังในสิ่งที่สาวใช้อธิบาย จากนั้นก็เดินตามไปจนถึงประตูห้องนอนของเด็ก ๆ ที่พูดถึง เสี่ยวอิงเคาะประตูพอเป็นพิธีอยู่สามครั้ง จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป พบว่าเด็ก ๆ ยังคงนอนหลับอยู่
หญิงสาวมองเด็กหญิงตรงหน้า เธอคือเด็กคนเมื่อคืนนี้ที่ถูกลักพาตัว ตอนนี้อยู่ในชุดนอนกระโปรงสีชมพู อีกเตียงนอนซึ่งเป็นเตียงคู่ก็มีเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอยู่ในชุดนอนเสื้อและกางเกงสีน้ำเงิน
“ฝาแฝดหรือ” หญิงสาวถามขึ้นมา
“ใช่ คุณหนูเป็นฝาแฝด คุณชายน้อยเสี่ยวจ้านและคุณหนูเล็กเสี่ยวเจิน ทั้งสองอายุย่างเข้าสี่ขวบแล้ว” เสี่ยวอิงพูดแล้วก็พาเธอไปดูตารางที่เขาเขียนเอาไว้
“นี่เป็นตารางกิจวัตรของคุณหนูทั้งสอง คุณเฉินย้ำนักย้ำหนาว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามตารางเวลา พี่หลันเฟยอ่านแล้วไม่เข้าใจตรงไหนถามฉันได้”
“ต้องปลุกกินข้าวเช้าตอนเจ็ดโมงเช้า พอแปดโมงเช้าจะต้องอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมงให้เล่นของเล่นเสริมพัฒนาการ กินข้าวไม่เกินเที่ยงตรงและเข้านอนในตอนบ่าย อาหารเย็นให้กินตอนบ่ายสามไม่เกินสี่โมงเย็น โอ้พระเจ้า! นี่มันตารางเด็กอนุบาลชัด ๆ” หญิงสาวพึมพำออกมามอง ดูตารางที่เขียนเอาไว้แล้วก็อดสงสารเด็ก ๆ ไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าต้องฝึกวินัยเอาไว้ เพราะอีกหน่อยก็ต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาลแล้ว แต่ละบ้านก็คงจะมีการสอนที่แตกต่างกัน
“แล้วตอนคุณนายเฉินอยู่ล่ะ เคร่งแบบนี้มาตลอดเลยหรือ” เธอถามพร้อมกับมองหน้าเสี่ยวอิงที่กำลังยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากเป็นทำนองว่าไม่ให้พูดถึง
“อยู่ที่นี่ กฎเหล็กคือห้ามพูดถึงอดีตคุณนายเฉิน ให้คุณเฉินได้ยินเด็ดขาด รวมถึงคุณหนูทั้งสองด้วย ไม่อย่างนั้นงอแงบ้านแตกแน่” จ้าวหลันเฟยพยักหน้ารับทราบ แต่ก็ยังมองหน้าของอีกฝ่ายเพื่อที่จะรอคำตอบ
“ไม่เคร่งขนาดนี้หรอก คุณนายเธอเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย ไม่มีระเบียบวินัย พอคุณนายไม่อยู่คุณเฉินเลยต้องฝึกระเบียบให้คุณหนูทั้งสอง” เสี่ยวอิงกระซิบบอกเสียงเบา จากนั้นก็พยักพเยิดให้หญิงสาวลองเข้าไปปลุกคุณหนูทั้งสองดู
“คุณหนูเล็ก คุณชายน้อย ตื่นได้แล้วค่ะ” เธอยืนปลุกอยู่ที่ปลายเตียง แต่ทั้งสองก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับตื่น กลับพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มมาปิดคลุมหน้าเหมือนรำคาญเสียอย่างนั้น
“สงสัยต้องปลุกแบบเสี่ยวเป่าแล้วล่ะ” เธอพึมพำขึ้นมาถึงวิธีที่พี่สะใภ้ใช้ปลุกหลานชายตัวดีของเธอ แล้วยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
************************
