บทที่สาม ต้องการพิสูจน์ตัวเอง
“แม่นางจะแสดงสิ่งใดรึ”
เสียงทุ้มของหนึ่งในลูกค้าคนพิเศษของหอสุ่ยเซียนฮวาตะโกนออกมาจากม้านั่งบนอรรธจันทร์
อินเอ๋อร์ สินค้าสำคัญในค่ำคืนนี้หันไปยิ้มหวานให้กับคนถามก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนหู
ช่างทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มเพ้อฝันยิ่งกว่าเก่า
“อินเอ๋อร์เพียงต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแออย่างที่ทุกคนคิดเจ้าค่ะ ตั้งแต่เกิดมาอินเอ๋อร์โดนบิดามารดาทอดทิ้งเพราะร่างกายอ่อนแอโชคดีที่ได้รับความเมตตาจากนายหญิงแห่งหอสุ่ยเซียนฮวารับเลี้ยงดู ตั้งแต่มาอยู่ที่หอแห่งนี้อินเอ๋อร์สำนึกบุณคุณของที่นี่ยิ่งนักจึงแอบฝึกระบำชุดพิเศษเพื่อรอวันที่อินเอ๋อร์จะได้ทำงานหาเงินตอบแทนหอสุ่ยเซียนฮวาเจ้าค่ะ”
“มามาได้ยินคงรู้สึกยินดีเป็นแน่ที่เจ้าคิดอย่างนี้ หวังว่านายท่านทุกคนจะเมตตาอินเอ๋อร์ น้องน้อยของพวกเรานะเจ้าคะ”
เจียวเอ๋อร์มีไหวพริบ แม้ในใจนึกอิจฉาลี่อินที่เคยเป็นสาวใช้ของคณิกาในหอ บัดนี้กลับเป็นที่สนใจของลูกค้าทุกคนมากกว่าพวกนางที่ทำงานมานานเสียอีก ทว่าอย่างไรพวกตนที่ได้รับเงินส่วนแบ่งจากการขายตัวลี่อินครั้งนี้ก็ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นหากขายได้ในราคาที่สูงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นเจียวเอ๋อร์จึงอดทนฝืนยิ้มส่งเสริมสตรีตรงหน้า
“ชื่อระบำของอินเอ๋อร์คือระบำธนูเจ้าค่ะ อุปกรณ์ที่ใช้คือคันธนูกับลูกศรหนึ่งกระบอกเจ้าค่ะพี่เจียว”
“ระบำอันใดข้าไม่เคยเห็น เจ้าร่างกายอ่อนแอขนาดยกน้ำเพียงไม่กี่ถังก็หมดแรงจะยกคันธนูมาระบำได้อย่างไรกัน... เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องขายหน้าให้มามาเชียวนะอินเอ๋อร์”
ประโยคสุดท้ายของเจียวเอ๋อร์กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันไม่กี่คน
“ข้ารู้ว่าร่างกายอ่อนแอจึงเลือกระบำธนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ หากเป็นระบำดาบข้าคงหมดแรงยกจนคมบาดแขนข้า ข้าเลือกธนูมาเป็นอุปกรณ์เพราะมันไม่อันตรายแถมยังเบากว่าเป็นไหน ๆ ...” ลี่อินกระซิบตอบกลับให้ได้ยินกันแค่สองคนเช่นกัน “...และอีกอย่างพี่เจียวก็น่าจะรู้ว่าข้าอ่อนแอเรื่องการรำท่าทางยาก ๆ จึงทำไม่ได้ หากไม่ใช้อาวุธแปลกใหม่ประกอบการรำคงไม่น่าดูเป็นแน่”
“มิใช่ว่ารำไม่เป็นแล้วทำให้ค่าตัวลดลงล่ะ เดี๋ยวมามาจะมีโทสะโทษข้าเอาได้”
“ข้าจะพยายามให้พวกพี่และมามาได้เงินมากที่สุดเจ้าค่ะเพื่อตอบแทนพวกท่านที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี”
“ดีมากที่เจ้าคิดอย่างนั้น ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ข้าไม่ช่วยเหลือนะหากเจ้าทำให้พวกเขาไม่พอใจแล้วลดค่าตัวลง”
“เจ้าค่ะ เรื่องอุปกรณ์ประกอบการแสดงต้องลำบากพี่เจียวแล้ว”
สตรีสองคนสนทนาตกลงกันเสียงเบาจบลง ไม่นานการแสดงความสามารถพิเศษของสินค้าหนึ่งเดียวในค่ำคืนนี้ก็เริ่มต้นขึ้น
บนเวทีบัดนี้เหลือเพียงโฉมงามท่าทางอ่อนหวานอ้อนแอ้นกำลังถือคันธนูและบนบ่าแบกกระบอกไม้ใส่ลูกศรยืนอยู่กลางเวที
“ดนตรีเริ่มบรรเลงได้เลยเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เสียงเครื่องดนตรีเริ่มต้นบรรเลง เท้าเล็กขาวดุจหิมะเริ่มเคลื่อนตัวโอนอ่อนไปตามบทเพลง ชายกระโปรงของชุดที่ตอนแรกมีความยาวคลุมข้อเท้าขาวนวลบัดนี้เผยโฉมหลอกล่อสายตาผู้ชมเนื่องจากเจ้าของร่างสะโอดสะองยกแขนร่ายรำไปตามบทเพลง บางครั้งการเคลื่อนไหวของนางก็ทำให้เผยผิวนาวนวลข้างในร่มผ้า
บทเพลงไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไปบรรเลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของการแสดง สตรีเจ้าของท่ารำไหลลื่นไร้แบบแผนทว่าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับท่วงทำนองเสียงเพลงเริ่มมีการออกท่าทางหยิบอุปกรณ์ออกมาใช้ประกอบการรำ และธรรมชาติของการร่ายรำบทเพลงนี้ช่วงสุดท้ายจะนิยมดับแสงเทียนบางดวงเพื่อให้มืดสลัวแล้วค่อยจบลงพร้อมกับสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมแน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลสำคัญในการที่ลี่อินเลือกใช้บทเพลงนี้ในการร่ายรำของตัวเอง
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางย่อมเคยเห็นการแสดงของนางรำในหอสุ่ยเซียนฮวาจึงรู้ความจริงข้อนี้และได้นำมาใช้เป็นหนทางรอดของตนเองในวันนี้
พรึ่บ พรึ่บ
ทันทีที่มีคนช่วยดับเทียนบางดวงให้มืดสลัวจนกระทั่งเสียงบรรเลงเพลงจบลง โคมไฟถูกจุดให้กลับมาส่องสว่างเหมือนเดิม ความวุ่นวายที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อบนเวทีการแสดงกลับไร้เงาของโฉมงามเจ้าของการแสดงเสียแล้ว
อีกทั้ง...
“เฮ้ย ! มีคนโดนยิง”
ฮือฮา ฮือฮา
“ลี่อินหายตัวไปแล้ว”
“ธนูและลูกศรก็หายไปด้วย !!”
อีกด้านหนึ่งร่างบางเจ้าของนามลี่อิน สินค้าชิ้นสำคัญในการประมูลใต้ดินในครั้งนี้กำลังวิ่งหนีขึ้นมาจากห้องใต้ดินลัดเลาะอยู่ในหอนางโลมสุ่ยเซียนฮวาชั้นบน วิ่งผ่านผู้คนด้านบนที่ยังไม่รู้เหตุวุ่นวายที่กำลังเกิดจากชั้นใต้ดินเบื้องล่างเท้าเนื่องจากฝีมือของนางนั่นเอง
ชาติที่แล้วก่อนที่ลี่อินจะไปสอบเข้าเรียนเป็นแพทย์ทหาร ตอนเรียนประถมถึงมัธยมลี่อินสมัครเรียนธนูด้วยความชอบ พอเรียนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กจนโตฝีมือเข้าตาโคชจึงได้รับคำแนะนำให้ไปแข่งขันจากมือสมัครเล่นสู่การแข่งขันจริงจัง ได้รางวัลมาหลายสนาม หากลี่อินไม่ได้มีความฝันอยากประกอบอาชีพแพทย์ในหน่วยทหาร ตอนนู้นไม่แน่นางอาจได้เป็นหนึ่งในนักกีฬาทีมชาติก็เป็นได้
เมื่อกี้ลี่อินเพิ่งเคยยิงเป้าที่เป็นมนุษย์เป็นครั้งแรก ดีที่เรียนแพทย์จึงรู้จักร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดีจึงเล็งยิงใส่คนเฝ้าทางขึ้นบันไดในตำแหน่งที่ไม่ถึงตายเพื่อหลบหนีขึ้นมาจากชั้นใต้ดินได้
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชาลี่อินก็สามารถออกจากหอนางโลมที่นางสำรวจมาแทบทุกซอกทุกมุมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเพื่อใช้ประโยชน์ตอนที่นางคิดหนีออกจากที่นี่อย่างวันนี้
ลี่อินวิ่งออกมาจากประตูทางออกด้านหลังที่สามารถทะลุไปถึงตัวตลาดเพื่อหวังวิ่งไปปนเปกลมกลืนในฝูงชนและเพื่อให้คนของหอสุ่ยเซียนฮวาตามหาตัวนางได้ยากขึ้นนั่นเอง
หากแต่ใครจะไปนึกว่าคนที่ไล่ตามนางมาจะไม่ใช่พวกผู้คุ้มกันทั่วไปของหอนางโลมสุ่ยฮวา แต่กลับเป็นลูกน้องผู้มีฝีมือในเครื่องแบบที่ชาวเมืองซีสูรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเมื่อไหร่ที่เจอชาวบ้านมักจะหลบเลี่ยงออกห่างด้วยความหวาดกลัว
ตอนนี้พวกที่ตามตัวลี่อินกลับเป็นคนของสำนักฉวนเจิน !
“พวกเขาตามข้าทำไมกัน”
ในระหว่างนั้นลี่อินที่บนใบหน้าคาดผ้าโปร่งแสงปิดบังตัวตนกำลังเดินปะปนในฝูงชนคอยหันไปมองด้านหลังด้วยความหวาดระแวง พอหันหน้ากลับมาทางเดิมหญิงสาวถึงกับผงะตกใจล้มลงไปข้างหลังจนก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นแข็งเมื่อเห็น...
บุรุษท่าทางน่าเกรงขามสวมใส่อาภรณ์ดำทะมึนทั้งตัวยืนดักรออยู่เบื้องหลังหญิงสาว
ที่นางตกใจอลังการถึงขนาดเสียหลักล้มลงไปเป็นเพราะใบหน้าของบุรุษคนดังกล่าวดันเหมือนกับภาพวาดชายคนหนึ่งในสามภาพที่ลี่อินเคยเห็นในความฝันของตนเองน่ะสิ !
หญิงสาวฝันถึงเหตุการณ์เดิม ๆ เกือบทุกวันจึงไม่มีทางที่นางจะจำหน้าผิด
เป็นเขาแน่ !
บุรุษในความฝันของนาง !
ลี่อินกะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน
ส่วนคนที่ถูกนางมองมาก็ใช้ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมาที่ลี่อินสร้างความหวาดหวั่นให้สตรีธรรมดาเช่นนางไม่น้อย
“ท่านเป็นใคร”
นางเหลือบสายตาไปเห็นตราประจำสำนักฉวนเจินจึงหันกลับมาสบตากับอีกฝ่ายและเผลอกลืนน้ำลายหนืดลงคอ
“ข้าคือผู้ชนะจากการประมูล ต่อจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือคนของข้า”
“ขะ ข้า ไม่ใช่...”
“พวกเจ้าพานางไป ! ข้าไม่มีทางยอมเสียเงินหนึ่งแสนตำลึงทองไปโดยเปล่าประโยชน์”
“นะ หนึ่งแสนตำลึงทอง !” ลี่อินโดนชายสองคนหิ้วแขนของนางคนละข้างพาตัวไปขึ้นรถม้า “บ้าไปแล้ว ข้าไม่ไป ปล่อยนะ ! ปล่อย !”
“เอาผ้าอุดปากนางด้วย ข้าหนวกหู”
“!!”
