บทที่สอง ความสามารถพิเศษ
“ท่านประมุขน้อยสนใจร่วมประมูลตัวนางด้วยหรือไม่ขอรับ”
อีกด้านหนึ่งบนอัศจรรย์ ม้านั่งตัวบนสุดของชั้นบริเวณกลางอันเป็นตำแหน่งในการชมเวทีที่ดีที่สุด นายหญิงของหอนางโลมจัดเตรียมเอาไว้ให้ลูกค้าคนพิเศษผู้ได้รับเทียบเชิญหรูหราที่สุดกำลังนั่งอยู่
บุรุษคนดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนทว่าเป็นจูอี้ฉง ประมุขน้อยแห่งสำนักฉวนเจิน บุรุษหนุ่มรูปหล่อวัยเพียงยี่สิบกล่าวหนาว อีกทั้งยังไม่ได้แต่งงานมีฮูหยินเป็นของตัวเองจึงไม่แปลกที่พอลูกค้าร่วมงานหลายคนเห็นชายหนุ่มในชั้นใต้ดินแห่งนี้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเนื่องจากมีความคิดสงสัยคล้าย ๆกันว่าไยบุรุษที่เพียบพร้อมทั้งอำนาจ เงินทอง และรูปลักษณ์ภายนอกจนติดอันดับหนึ่งชายหนุ่มที่สตรีวัยปักปิ่นต้องการตบแต่งให้ด้วยนั้น มีเหตุผลใดจึงมาเยือนสถานที่แห่งนี้กัน
ทว่าก็แค่สงสัยมิอาจเอ่ยปากถามออกไปเนื่องจากต่างหวาดกลัวหลังจากได้ยินชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของประมุขน้อยแห่งสำนักฉวนจินมาตลอดสี่ห้าปีมานี้เป็นอย่างดีนั่นเอง
“ข้ามาร่วมงานแทนท่านพ่อก็เท่านั้น เจ้าไม่ต้องประมูลสิ่งใดทั้งสิ้น”
“ขอรับท่านประมุขน้อย”
เจียเต้า ลูกน้องคนสนิทของจูอี้ฉงพยักหน้ารับอย่างเสียดาย เขาอุตส่าห์หวังว่าความสดใหม่ของสินค้าในครั้งนี้จะสามารถกระตุ้นให้นายน้อยของตนมีความปรารถนาในเรื่องสตรีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เขาจะได้ไม่ต้องโดนประมุขของสำนักตำหนิเรื่องเจ้านายของตนเองไม่แต่งภรรยาตามคำสั่งสักที
เขาเชื่อว่าหากนายน้อยถูกใจสตรีคนใด ไม่ว่านางจะมีชาติกำเนิดเป็นยาจกหรือขอทานก็ตามแต่ หากนายน้อยถูกใจแล้วเอ่ยปากอยากแต่งนางเข้ามาในจวนตัวเอง ท่านประมุขบิดาของนายน้อยไม่มีทางคัดค้านอย่างแน่นอน
ตรงกันข้ามท่านประมุขอาจรีบร้อนรับลูกสะใภ้คนนั้นเข้ามาอย่างรวดเร็วเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าลูกชายของตนจะไม่ถูกใจสตรีคนใดอีก
ก็นะ เรื่องการมีทายาทนั้นจำเป็นไฉน
เขาโดนบ่นจนหูชาไปหมดแล้วเนี่ย
ลูกน้อยอย่างเขาได้แต่เอ่ยแนะนำก็เท่านั้น ไม่ได้สามารถสั่งเจ้านายให้มีภรรยาใหญ่ภรรยาน้อยได้เสียหน่อยนี่
ลำดับเหตุการณ์บนเวทีด้านล่างยังคงดำเนินไปโดยปกติจนกระทั่งถึงช่วงเวลาเปิดเผยใบหน้าของสินค้าที่ทางหอนางโลมโอ้อวดสรรพคุณของสตรีภายใต้ผ้าคลุมต่าง ๆ นานา
เมื่อผ้าคลุมเปิดออก รูปโฉมงามเพริศพริ้งที่ทางหอนางโลมสุ่ยเซียนฮวาเอ่ยอ้างนั้นได้รับพิสูจน์ด้วยตาเนื้อแล้วว่าไม่เกินจริงเลยด้วยซ้ำ
ริมฝีปากแดงระเรื่อ ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้าอ่อนหวานไม่ต่างอันใดจากกลีบบุปผา คิ้วดำดุจน้ำหมึก แววตากระจ่างใสดูไม่ใช่แววตาของสตรีที่ชาวหอนางโลมเรียกว่าบัวขาว แวบหนึ่งเหมือนเห็นแววตาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาชีวิตทว่าแววตานั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็วแทนที่ด้วยแววตาของสตรีโง่งมไร้เดียงสาทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ท่าทีมีชีวิตชีวาเจือจางด้วยความไร้เดียงสาเหมือนไม่สู้คนของสตรีงามบริสุทธิ์เช่นนี้หากนางเอ่ยว่าอยากได้บ้านสิบหลังย่อมทำให้บุรุษยอมสละชีวิตเพื่อนำสิ่งที่นางต้องการมามอบให้เลยทีเดียว
แล้วยิ่งชุดที่นางสวมใส่เป็นสีม่วงอ่อนแตกต่างจากชุดพิมพ์นิยมที่คณิกาในหอนางโลมมักเลือกใส่สีฉูดฉาดเพื่อดึงดูดความสนใจลูกค้าจึงส่งเสริมให้นางดูเหมือนเทพธิดาลงมาจุติเกิดบนโลกมนุษย์ ทว่าเกิดในพื้นที่ผิดไปหน่อยจึงต้องมาอยู่ในหอนางโลมแห่งนี้
ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นสตรีชาติกำเนิดต้อยต่ำที่โดนเก็บมาเลี้ยงเลยสักนิด
แม้ไม่เชื่อประวัติบอกเล่าเกี่ยวกับตัวนางที่ได้ยินมาแล้วอย่างไร ย่อมไม่มีใครสนใจเรื่องราวพวกนั้นไปมากกว่าภาพสวยงามน่าหลงใหลเบื้องหน้าจนสมองสั่งการให้ไขว่คว้ามาครอบครอง
ดูท่า สิ่งที่พูดออกมานั้นดูน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเหล่าบุรุษมากตัณหามองมาที่ลี่อินด้วยแววตาแวววาวหื่นกระหาย มีปรารถนาในการชนะการมูลในครานี้กว่าคราไหน ๆ
“ราคาประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งร้อยตำลึงทองเจ้าค่ะนายท่านทุกคน”
เป๊ง!
เสียงสัญญาณเปิดการประมูลสินค้ามีชีวิตเริ่มต้นขึ้นตามด้วยเสียงแซ่ซ้องของลูกค้าผู้ร่วมประชุมยกมือแข่งกันเสนอราคามากกว่าราคาเริ่มต้นกันไม่หยุด
“ข้าเสนอหนึ่งพันตำลึงทอง”
“หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง”
“สองพัน”
“สามพัน”
“ห้าพัน”
เสียงของลูกค้าแข่งขันกันเสนอราคาซื้อตัวคณิกาบัวขาวยังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนิ่งแม้ว่าราคาจะเริ่มสูงขึ้นจนสามารถซื้อจวนหลังใหญ่ได้หลายหลังก็ตามจนกระทั่งมีเสียงนิรนามให้ราคาที่สูงเกินอาจเอื้อมของใครหลายคนหรือแม้กระทั่งคนของหอนางโลมได้ยินราคานั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนเสนอราคานี้เลยด้วยซ้ำ
“สองหมื่นตำลึงทอง!”
“!!”
“!!”
เจียวเอ๋อร์ที่เป็นคนดำเนินรายการงานประมูลเบิกตาโตราวกับไข่ห่าน หันมองใบหน้าลี่อินด้วยความอิจฉาในใจก่อนจะรีบดึงสติกลับมาสนใจหน้าที่ของตัวเอง
ลูกค้าผู้มั่งคั่งเงินทองขนาดซื้อสตรีคนหนึ่งด้วยเงินมากมายขนาดนั้นเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ท่าทางเช่นนี้ไม่แคล้วมีฮูหยินเอกแล้ว การที่ลี่อินถูกซื้อไปไม่แน่ว่าอาจได้เป็นอนุภรรยาของเศรษฐี อยู่ดีกินดีมีเงินให้ใช้สบายไปทั้งชาติเชียว
ในขณะที่คณิกาคนอื่นมีความรู้สึกอิจฉาริษยามาลี่อินอย่างยิ่ง ทว่าคนที่โดนคนอื่นอิจฉากลับไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด กลับกันนางรู้สึกราวกับตัวเองเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ชาติที่แล้วแม้ว่าไม่ได้เกิดมาเป็นลูกหลานคนรวยมีฐานะหน้าตาในสังคม ทว่านางก็ประกอบอาชีพทรงเกียรติ มีผู้คนนับถือ ทำความเคารพมากมายไม่ได้ไร้ค่าไม่ต่างจากสิ่งของชิ้นหนึ่งอย่างเช่นตอนนี้
มือน้อยกำแน่นภายใต้ชายแขนเสื้อเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนรนของตัวเองเอาไว้ สมองหญิงสาวแล่นปราดเพื่อหนทางหลุดจากความอัปยศครั้งนี้
แม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้วที่จะหาทางรอด ทว่าลี่อินไม่คิดยอมแพ้ต่อโชคชะตาของชีวิตใหม่ตนเองง่าย ๆ
นางคิดว่าจะต้องมีสักทางที่เป็นแสงสว่างไปสู่ทางออก
“สะ สองหมื่นตำลึงทอง ครั้งที่หนึ่ง...”
“สองหมื่นตำลึงทอง ครั้งที่สอง...”
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ พี่เจียว ข้ามีความปรารถนาอยากแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองให้นายท่านในที่นี้ชมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเจ้าค่ะ...สองหมื่นตำลึงทองนั้นน้อยยิ่งนัก”
ฮือฮา
“น้อย? นะ นี่ เจ้า...น้องลี่อิน เจ้าพูดอันใด นั่นเป็นความเมตตามหาศาลจากนายท่านที่มีให้เจ้าเชียวนะ”
“ทุกท่านไม่อยากเห็นการแสดงพิเศษของอินเอ๋อร์หรอกหรือเจ้าคะ การแสดงชุดนี้อินเอ๋อร์รับรองว่าไม่เคยมีที่ใดแสดงมาก่อนเพราะอินเอ๋อร์คิดท่าและการแสดงด้วยตัวเอง ทำการฝึกซ้อมมาเพื่อพวกท่านทุกคนเจ้าค่ะ”
“...”
“อะ เอ่อ ต้องขออภัยเจ้าค่ะ น้องน้อยของพวกข้าน้อยนั้นไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าจำนวนเงินที่ท่านได้เสนอมานั้นมากมายขนาดไหน ตะ...”
“เอาสิ ข้าเองก็อยากเห็น”
“ข้าอยากเห็นเช่นกัน”
“น่าสนใจยิ่ง เผื่อข้าอยากเพิ่มเงินให้แก่นาง”
“ให้นางแสดงเถอะ”
“ให้นางแสดง!”
“ให้นางแสดง!”
เสียงเรียกร้องจากลูกค้าส่วนใหญ่ทำให้เจียวเอ๋อร์ที่แม้ไม่พอใจทว่าสายตานางเห็นนายหญิงของหอนางโลมพยักหน้าอนุญาตจึงขัดไม่ได้ยินยอมตามน้ำความคิดของสินค้าในค่ำคืนนี้ไป
เจียวเอ๋อร์หันไปปั้นหน้ายิ้มหวานเหมือนพี่สาวใจดีใส่ลี่อิน
“ความสามารถพิเศษที่น้องต้องการแสดงต้องการใช้อุปกรณ์ใดหรือไม่ พี่สาวคนนี้ยินดีให้คนไปหามาให้ทุกอย่างเพื่อที่เจ้าจะได้ทำตามความปรารถนาเพื่อนายท่านได้อย่างเต็มที่”
“ขอบคุณพี่สาวและนายท่านทุกคนที่ให้โอกาสอินเอ๋อร์ผู้นี้เจ้าค่ะ”
