เขาคือพรานป่าคนนั้น 1
เขาคือพรานป่าคนนั้น
ตลอดสองข้างทางแม้จะมีคนจับตามองและซุบซิบกัน
แต่ว่าเฉินโม่หรานหาได้สนใจไม่ ในใจนั้นรู้ดีว่าคนพวกนี้ก็คงจะนินทาเธอเหมือนเดิม
หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เดินขึ้นเขามา ก่อนจะมองหาที่
ลับตาคน แล้วจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย สาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่พากลับไปกินที่บ้าน นั่นก็เพราะกลัวว่าบ้านใหญ่จะรับรู้และได้กลิ่นอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่พร้อมสู้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก
“วันนี้คงเอาอะไรออกมามากไม่ได้ นอกจากเนื้อไก่หนึ่งตัว รวมกับปลาอีกสี่ตัวก็คงจะอิ่มกันแล้วล่ะ”
เฉินโม่หรานเอาทั้งสองอย่างออกมาจากมิติ และหาที่ที่มีกองใบไม้ เพื่อจะให้พวกปิดบังอาหารที่เธอเอาออกมา
หลังจากที่จัดการเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็รีบมุ่งหน้าไปแปลงข้าวโพดที่ครอบครัวของเธอทำงานอยู่
ขณะเดียวกันเมื่อเธอกำลังเดินลงมา กลับพบใครบางคนเข้าพอดี จากความทรงจำของร่างนี้ เขาคงจะเป็นพรานป่าที่ชื่อจ้าวหนิงเฉิง หรือที่ใครเรียกกันว่าพรานเฉิง
จ้าวหนิงเฉิงเดินลงมาจากเขาโดยมีกระต่ายป่าติดมือมาด้วย เมื่อเห็นว่าพบเจอใครเขากลับชะงักเล็กน้อย นั่นเพราะใบหน้าของเขามีแผลยาวตรงแก้มซ้ายอย่างน่ากลัว
หญิงสาวในหมู่บ้านต่างก็รังเกียจทั้งนั้น ซึ่งไม่ต่างจาก
หญิงสาวตรงหน่าอย่างเฉินโม่หราน
เมื่อเห็นว่ากระต่ายน่ารัก เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“กระต่ายทั้งสองตัวนั้นอย่าฆ่ามันได้ไหม ปล่อยมันไปเถอะนะ” สายตาของเธอมองไปยังกระต่ายทั้งสองตัวไม่วางตา
“กระต่ายคืออาหาร ต่อให้ผมปล่อยไป มันก็ต้องถูกจับกลับมาอยู่ดีโดยชาวบ้านคนอื่นที่ต้องการอาหาร” ชายหนุ่มตอบกลับมา แต่ก็แปลกใจที่เธอกล้าพูดคุยกับตนเอง
พอได้ยินอย่างนั้น เฉินโม่หรานก็หยุดคิดเล็กน้อย ในใจนั้นเริ่มก่นด่าตัวเองว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง กระต่ายป่าคืออาหารของมนุษย์ ขนาดยุคที่เธอจากมายังมีฟาร์มกระต่ายที่เลี้ยงไว้เพื่อนำมาขายเป็นอาหารเลย
“ช่างมันเถอะค่ะ คิดเสียว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง อย่างไรก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงสาวพูดขอโทษอย่างจริงจัง คิดว่าเธอไม่สมควรยุ่งเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบกลับมาเพียงแค่นั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ และต้องขอโทษอีกครั้ง”
พูดจบก็เดินออกมา โดยมีสายตาของจ้าวหนิงเฉิงมองตาม เขาสงสัยไม่น้อยว่าเฉินโม่หรานเป็นอะไร ทำไมเธอถึงยอมคุยกับเขาอย่างง่ายดาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอมักจะเลี่ยงเดินหนีเป็นประจำ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เฉินโม่หรานมาถึงแปลงข้าวโพดก็มองหาพ่อแม่ และพี่ชาย พอแห็นว่าทั้งสามคนกำลังทำงานอยู่จึงนั่งรอ
‘งานที่นี่หนักเหมือนกัน พ่อแม่ และพี่ใหญ่ต้องทำงานกลางแดดแบบนี้ แต่บ้านใหญ่กลับนอนตีพุงอย่างสบาย ไม่ได้การล่ะ
ฉันต้องบอกเรื่องมิติกับทุกคน แล้วค่อยชวนพี่ใหญ่เข้าเมืองไปหาเงิน ตอนนี้เหมือนว่ากองพลน้อยไม่ได้บังคับให้ทุกคนทำงานเหมือนเดิมแล้ว’
หญิงสาวคิดถึงแผนการต่อจากนี้ในใจ เธอคิดว่าไม่ควรปิดบังเรื่องมิติ อย่างน้อยก็ทำให้เธอและครอบครัวมีอาหารกิน
และดูจากความทรงจำ ครอบครัวนี้รักเฉินโม่หรานไม่น้อยเลย
