ตอนที่ 3 ยินดีออกจากบ้าน
ตอนที่ 3
ยินดีออกจากบ้าน
“...” เก่อหลางได้ฟังถึงกลับนิ่งอึ้งไป จากที่เขากับเพื่อนเห็นกับตาว่าคนในครอบครัวก็ไม่สนใจหญิงสาวจริง ขนาดจมน้ำหายไปขนาดนั้น ยังไม่มีใครหันหลังกลับมามอง หรือว่าบางทีความร้ายของหญิงสาว จะมีสาเหตุมาจากคนในครอบครัว ไม่ใช่จากจิตใจของหญิงสาวจริง ๆ
ระหว่างที่บรรยากาศภายในห้องพักคนป่วยกำลังอึมครึม พยาบาลชุดขาวก็เปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เพื่อตรวจวัดความดันตามกำหนดเวลา หลังจากพยาบาลตรวจเสร็จ กลับออกจากห้องไปแล้ว สักพักก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับแพทย์ประจำตัวของคนไข้
หลังจากแพทย์ตรวจร่างกายของคนป่วยเสร็จก็บอกว่าวันนี้สามารถกลับบ้านได้ จูเก่อหลางเดินออกมานอกโรงพยาบาล แจ้งให้คนขับรถไปรายงานคนบ้านหาน ว่าแพทย์ให้ลูกสาวคนรองของพวกเขากลับบ้านได้แล้ว
ผ่านไปสักพัก คนขับรถก็กลับมารายงานเจ้านาย “ผมแจ้งพวกเขาแล้วครับ แต่พวกเขาบอกว่าไม่ว่าง ให้คุณหนูรองหานหาทางกลับบ้านเอง”
“ดีจริงนะ” เก่อหลางบ่นก่อนจะกลับเข้ามาในห้องพักของทางโรงพยาบาล พบว่าหญิงสาวจัดการเปลี่ยนชุดโรงพยาบาลออกเรียบร้อยแล้ว เขาพูดรายงานออกไปตามตรง “ครอบครัวของคุณไม่ว่างมารับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้านเอง”
หยุนชีรับฟังแบบเงียบ ๆ เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วละ ว่าคนในครอบครัวที่ปล่อยให้หยุนชีตัวจริงจมน้ำตายได้ มีหรือจะห่วงใยมารับลูกสาว ขนาดมาเยี่ยมยังไม่พากันมาเลย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” เก่อหลางเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเอ่ยถามออกมา
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ พวกเขาคงไม่ว่างจริง ๆ ฉันกลับเองได้ คุณเองก็ลำบากเพราะฉันมามากพอแล้ว ไม่อยากรบกวนคุณอีก” หญิงสาวปฏิเสธ
“ไม่รบกวนอะไรเลย ไหน ๆ ผมก็ช่วยคุณแล้ว ก็ให้ผมช่วยให้ถึงที่สุดเถอะ”
เมื่อชายหนุ่มพูดแบบนี้ หยุนชีก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจของเขา ยอมให้คนแปลกหน้าไปส่งถึงบ้าน แต่น่าแปลกเธอยังไม่ได้บอกเส้นทางอะไรเลย คนขับรถก็ขับพามาจนมาจอดอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน
“ผมส่งคุณแค่นี้แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันอยากจะถามชื่อของคุณ เผื่อวันข้างหน้าพวกเรามีโอกาสได้พบเจอกันอีก”
“ผมชื่อหลางจูครับ” เก่อหลางโกหกหน้าตาย
“ฉันหยุนชี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
หลังจากรู้ชื่อแซ่กันแล้ว หยุนชีไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณอีกครั้ง ก่อนเปิดประตูลงจากรถ ยืนมองจนรถยนต์คันสีดำแล่นหายลับไปจากสายตา ถึงได้หันมากดกริ่งเรียกให้คนรับใช้มาเปิดประตูให้
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน เธอก็เห็นภาพของคนในครอบครัวหาน นั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ในมือของแต่ละคนมีกล่องของขวัญถือเอาไว้
“เยว่ชิง นี้ของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อขอให้ลูกสาวผู้น่ารักของพ่อ มีความสุขมาก ๆ นะ” หานไป๋เทียนยื่นของขวัญกล่องใหญ่ที่สุดให้ลูกสาวบุญธรรม
หวังเยว่ชิงเอื้อมมือมาคว้าเอาไป รอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้า “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
คราวนี้ถึงคราวของซีเหม่ยที่เป็นฝ่ายมอบของขวัญและอวยพรให้ลูกสาวคนเล็กบ้าง
“แม่ก็ขอให้เยว่ชิงของแม่ เป็นเด็กดี น่ารักอ่อนหวานแบบนี้ตลอดไป อย่าเอาแบบอย่างพี่สาวเป็นอันขาด ต่อไปอนาคตของหนูจะมีแต่สิ่งดี ๆ รออยู่”
“แน่นอนค่ะ ลูกจะไม่มีวันทำนิสัยแย่ ๆ อย่างพี่หยุนชีเป็นอันขาด ลูกจะตั้งใจปรนนิบัติดูแลคุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็พี่ชายให้ดีที่สุดค่ะ”
“ลูกรักของแม่” ซีเหม่ยดึงตัวของลูกสาวมาหอมแก้มซ้ายแก้มขวา
เมื่อมารดาปล่อยตัวน้องสาวคนเล็กให้เป็นอิสระแล้ว คนเป็นพี่อย่างหลัวหยุนก็ยื่นกล่องของขวัญของตัวเองให้น้องสาวบ้าง “อันนี้ของพี่ ลองเปิดดูสิ ว่าชอบหรือเปล่า”
หวังเยว่ชิงรีบรับกล่องของพี่ชายมาแกะเป็นกล่องแรก ก่อนจะหยิบของภายในกล่องขึ้นมาดู ข้างในเป็นนาฬิกาของผู้หญิงที่ราคาค่อนข้างสูง และเป็นแบบที่เธออยากได้มาก
“พี่หลัวหยุน ใจดีที่สุดในโลกเลย” หญิงสาวเปลี่ยนมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกับพี่ชาย พร้อมโอบกอดรอบเอวของพี่ชายเอาไว้แน่น
“ชอบหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมของน้องสาวบุญธรรม
“ชอบมากเลยค่ะ ฉันรักพี่ชายจังเลย”
หยุนชียืนมองภาพครอบครัวอบอุ่น ราวกับตนเองเป็นคนนอก ส่วนเยว่ชิงต่างหากคือครอบครัวเดียวกันกับพวกเขา ไม่ว่าจะโลกไหน เธอก็กลายเป็นส่วนเกินของคนในครอบครัวเสมอ แล้วแบบนี้จะต้องทนแบกรับความรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินอยู่ทำไม สู้ออกไปสร้างอนาคต สร้างครอบครัวของตนเองดีกว่า
หญิงสาวถอนสายตาจากภาพที่ชวนน่าอิจฉา เตรียมตัวจะกลับขึ้นด้านบน ถ้าไม่มีเสียงหวานใสซื่อของน้องสาวร้องทักจนทุกคนหันมาเห็นเสียก่อน
“พี่หยุนชี พี่หายดีแล้วหรือคะ”
จากที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย เธอจำต้องหันมาสนใจทุกสายตาที่จับจ้องมองมา แววตาทุกคู่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก
“ที่ถามนี้เสียใจใช่ไหมที่ฉันยังไม่ตาย” เกิดใหม่อีกครั้ง คราวนี้หยุนชีไม่จำเป็นต้องคอยเอาอกเอาใจ หรือกลัวว่าจะทำให้ใครไม่พอใจ ดังนั้นหากใครหาเรื่อง เธอก็พร้อมจะมีเรื่อง
“หยุนชี น้องเขาถามแกด้วยความเป็นห่วง ทำไมแกต้องหาเรื่องน้องไม่หยุดหย่อนด้วย” เมื่อลูกรักถูกพูดไม่ดีใส่ คนเป็นแม่ก็พร้อมกางปีกปกป้องทันที
หยุนชีแค่นเสียงหัวเราะ “เป็นห่วง ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่มีใครคิดช่วยเหลือปล่อยให้ฉันจมน้ำ ทำไมไม่มีใครคิดจะไปเยี่ยมตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมไม่มีใครคิดจะไปรับ พอมาถึงตอนนี้กลับคิดจะมาเป็นห่วง พูดจาตลบตะแลงเกินไปไหมคะ”
“แกจะลามปามกับคุณแม่เกินไปแล้วนะ” หลัวหยุนไม่พอใจผุดลุกขึ้นยืน ย่างสามขุมเข้าหาน้องสาว “คนที่คิดจะฆ่าคนอื่นอย่างแก ใครเขาจะอยากเป็นห่วง ทำไมไม่ตายไปเสียให้มันจบ ๆ ทุกคนจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ใจกับแก”
เยว่ชิงแอบยิ้มมุมปากซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น รีบลุกขึ้นมาคล้องแขนห้ามปรามพี่ชาย “พี่ชาย พี่อย่าพูดกับพี่หยุนชีแบบนั้นสิคะ พี่เขาจะเสียใจ”
หลัวหยุนหันมาจับมือน้องสาวบุญธรรม “คนดีของพี่กลัวแต่คนอื่นจะเสียใจ แล้วทีหยุนชีเล่า ยังไม่เห็นจะนึกเห็นใจผู้อื่นอย่างน้องสาวคนนี้ของพี่เลย”
“เยว่ชิงไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ ต่อให้พี่หยุนชีจะทำร้ายจิตใจของฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่โกรธพี่หยุนชีค่ะ”
“คนดีเสียเหลือเกินนะ”
หานหยุนชีประชดประชันอย่างเหลืออด หากเป็นโลกในยุคสมัยของเธอ หวังเยว่ชิงผู้นี้ ถือเป็นนักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ตีบทแตกแสร้งทำตัวเป็นคนดีได้สมจริงเหลือเกิน จนคนในครอบครัวของหยุนชีหลงเชื่อ
หานไป๋เทียนทนฟังมานาน ผุดลุกขึ้นย่างสามขุมเข้าหาลูกสาวในไส้ เงื้อมือขึ้นสูงก่อนจะฟาดลงบนพวงแก้มนุ่มอย่างแรง จนใบหน้างามหันไปตามแรงฟาดของเขา
...เพียะ!...
“หยุดก่อเรื่องได้แล้ว ถ้าแกไม่พอใจที่เยว่ชิงเข้ามาเป็นลูกของฉันอีกคน แกก็ไสหัวออกจากบ้านไป ถ้าอยากอยู่ก็อยู่อย่างเจียมตัวเอาไว้บ้าง ไม่สร้างประโยชน์ให้วงศ์ตระกูลก็อย่าสร้างปัญหา”
หยุนชีกุมแก้มข้างที่ถูกตบ จ้องตาบิดาตาเขม็ง อย่างไรเธอก็ไม่ใช่หยุนชีตัวจริงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเคารพคนที่ทำตัวไม่น่าเคารพ
“ตกลงค่ะ ฉันจะเป็นฝ่ายออกไปจากชีวิตของทุกคนเอง แต่ก่อนไปหวังว่าคุณพ่อ คงไม่ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไป แบ่งทรัพย์สินของตระกูลหานให้ลูกนอกคอกคนนี้บ้าง แล้วต่อไปฉันจะหายไปไม่มากวนใจทุกคนอีก”
“พี่คะ อย่าประชดคุณพ่ออย่างนี้เลย พี่เป็นลูกแท้ ๆ ของคุณพ่อ หากมีคนต้องไป คนคนนั้นก็ควรจะเป็นฉันเอง” เยว่ชิงน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเหยเกจวนเจียนจะร้องไห้ออกมา
ซีเหม่ยรีบลุกขึ้นมากอดปลอบลูกสาวบุญธรรมเอาไว้แนบอก ท่าทางทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน “อย่าร้องนะลูกรักของแม่ แม่ไม่ยอมให้ลูกไปไหนทั้งนั้น”
“ใช่ ถ้าใครอยากไปก็ปล่อยเขาไป แกพร้อมจะไปวันไหนก็บอก ฉันจะเตรียมเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้ให้ จะคอยดูสิว่า ถ้าออกไปเผชิญโลกภายนอกแล้ว แกจะยังอวดดีแบบนี้หรือเปล่า จำไว้ถ้าแกก้าวออกไปแล้ว อย่าได้หวนคืนมาอีก”
ไป๋เทียนคิดไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ลูกอย่างหยุนชีที่ทำอะไรไม่เป็น เรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง รังแต่จะทำให้ครอบครัวขายหน้า ต่างจากเยว่ชิงที่นิสัยดีเรียบร้อย เรียนหนังสือก็เก่ง พาไปทางไหนก็มีแต่คนชื่นชม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะรั้งลูกสาวในไส้ของตนเองเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ ขอเวลาสักสองสามวันก่อน หาที่อยู่ได้เมื่อไร ฉันจะย้ายออกทันที” หยุนชีกล่าวจบก็อาศัยความทรงจำเดินขึ้นชั้นสองเข้าห้องนอนของตัวเองไป...
