ตอนที่ 2 หญิงสาวสองยุคชะตาคล้ายกัน
ตอนที่ 2
หญิงสาวสองยุคชะตาคล้ายกัน
แก้วตา เจ้าของร้านข้าวราดแกง ยืนเหม่อลอยอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา หยดน้ำสีใสไหลรินออกจากดวงตาไม่ขาดสาย ยามคิดถึงคนในครอบครัว ที่ไม่เคยเห็นว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเขาเลย
พ่อแม่บุญธรรมรับเธอมาเลี้ยงตั้งแต่เธออายุแปดเดือน ตอนแรกทั้งสองก็ทุ่มเทความรัก ความเอาใจใส่ให้เธอเป็นอย่างดี จนกระทั่งเธออายุได้สามขวบ แม่ก็ตั้งท้องลูกของตัวเอง เรื่องนี้ทำให้พ่อดีใจมาก
และนับจากนั้นเป็นต้นมา ความรัก ความเอาใจใส่ก็ถูกถ่ายเทไปให้น้องสาวทั้งหมด พ่อกับแม่เริ่มมองเธอด้วยแววตาเหินห่าง เริ่มทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงคนนอก
จากฐานะลูกสาวคนโตของบ้าน เริ่มขยับขยายมาเป็นคนที่ต้องทำงานเพื่อแลกข้าวและตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่บุญธรรม
เธอพยายามซ่อนความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ เอาอกเอาใจพ่อแม่และน้องสาวทุกอย่าง เพื่อรักษาคำว่าครอบครัว ยอมแม้กระทั่งไม่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ยอมออกมาเป็นเพียงแม่ค้าขายข้าวแกง ส่งเงินให้น้องสาวได้เรียนต่อสูง ๆ
ถึงแม้เธอจะยอมพวกเขาทุกสิ่งทุกอย่าง ยามที่ไม่ได้ดั่งใจ ยังถูกพวกเขาด่าว่าเสีย ๆ หาย ๆ อย่างครั้งล่าสุดเมื่อเช้า น้องสาวมาขอเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ อ้างว่าเครื่องเก่าตกรุ่นไปแล้ว เธอหาเงินให้ไม่ทัน จึงถูกพ่อแม่ต่อว่า ถึงขนาดบอกว่าไม่น่าเก็บเธอมาชุบเลี้ยงเลย แล้วยังพากันเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าโยนใส่หน้าเธอด้วย
ทุกครั้งที่พวกเขาทำแบบนี้ เธอจะทำแค่เก็บกระเป๋าเสื้อผ้ากลับไปไว้ที่เดิม แล้วออกมาทำตามความต้องการของพวกเขาให้สำเร็จ แต่ครั้งนี้เงินจำนวนสามหมื่นเธอคงหาให้น้องสาวไม่ได้ เลยตัดสินใจหอบกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากบ้านมาจริง ๆ เดินโซซัดโซเซมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดพักเหนื่อยเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้
“พ่อแม่ ถ้าไม่รักลูก ทำไมต้องรับเลี้ยงลูกด้วย”
ยังไม่ทันได้รำพึงรำพันอะไรมากนัก อยู่ ๆ ก็คล้ายมีกระแสลมเหมือนลมพายุพัดพาร่างของเธอพลัดตกลงจากสะพานข้ามแม่น้ำ ร่างกระแทกผิวน้ำอย่างรุนแรงจนสลบ จมลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาแบบไม่มีใครเห็น...
หานหยุนชี...ลูกสาวคนรองของสกุลหาน ตั้งแต่ลืมตาดูโลก พ่อแม่พี่ชายรักและเอ็นดูมาก ตามใจทุกอย่างไม่ว่าเธออยากได้อะไรก็ต้องได้ ทำให้หญิงสาวติดนิสัยเอาแต่ใจ แม้กระทั่งไม่อยากเรียนก็ไม่มีใครว่า
จนเมื่ออายุได้สิบหกปี พ่อแม่ได้รับลูกสาวของเพื่อนพ่อมาเป็นลูกบุญธรรม เพราะพ่อแม่ของหวังเยว่ชิงเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตหมด
ด้วยความที่หวังเยว่ชิงเป็นคนนิสัยเรียบร้อยอ่อนหวาน ว่านอนสอนง่าย งานบ้านงานเรือน หยิบจับทำอะไรก็เก่งหมดทุกอย่าง ทำให้พ่อแม่และพี่ชายของหยุนชีรักและเอ็นดูเป็นอย่างมาก มากจนถึงขั้นเอาใจอีกฝ่ายมากกว่าลูกสาวของตัวเองเสียอีก
สิ่งเหล่านี้มันทำให้ คนที่เคยได้รับความรัก เคยถูกตามใจเริ่มเก็บสะสมความริษยาเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย ยิ่งเยว่ชิงถูกชื่นชมมากแค่ไหน หยุนชียิ่งไม่ชอบใจมากเท่านั้น
ไม่นานเมื่อทุกอย่างถึงจุดอิ่มตัว หยุนชีก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป คอยหาทางรังแกหวังเยว่ชิงตลอดเวลา เพื่อทำให้ทุกคนหันมารักและเอาใจเธอแต่เพียงผู้เดียว แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งเธอร้ายมากแค่ไหน หวังเยว่ชิงยิ่งได้ใจของคนในสกุลหานไปครองมากเท่านั้น
ถึงขนาดที่พวกเขาเหล่านี้ไม่อยากจะนับญาติกับหญิงสาวอีกต่อไป แต่พ่อแม่และพี่ชายของเธอไม่รู้ว่า ทุกครั้งที่เธอก่อเรื่องหรืออาละวาด ต้นเหตุล้วนมาจากการยั่วยุของเยว่ชิงทั้งนั้น ที่สร้างให้เธอกลายเป็นนางร้ายในสายตาของทุกคน
รวมไปถึงวันนี้ วันที่คนในครอบครัวหานพาหวังเยว่ชิงมาฉลอง เพราะอีกฝ่ายสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ โดยที่ไม่มีใครบอกกล่าวหานหยุนชีเลยแม้แต่น้อย ว่างานเลี้ยงจัดขึ้นที่ไหน เพราะกลัวเธอจะไปหาเรื่อง
แต่ดันมีจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง เขียนมาด้วยลายมือที่เธอจำได้ว่าเป็นรายมือของเยว่ชิง เขียนทำนองว่า หากเธอแน่จริงให้ตามไปพบตามสถานที่ที่จดที่อยู่ไว้ให้ หานหยุนชีถึงได้ตามที่อยู่ในจดหมายน้อยนั้นมา ได้เห็นว่าเป้าหมายยืนหันหลังให้สระน้ำ ถึงได้ตรงเข้าไปหา
“เธอเขียนจดหมายน้อยส่งให้ฉันทำไม” หยุนชีเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
“พี่ก็ไม่ได้โง่นี้ค่ะ ยังจำลายมือฉันได้ด้วย แต่ทำไมถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ไม่เหมือนกับคนเก่งอย่างฉัน พี่เห็นไหมว่าพ่อกับแม่ดีใจแค่ไหน ขนาดฉันแค่เปรย ๆ ว่าอยากมีงานเลี้ยงฉลองที่โรงแรม พ่อกับแม่ก็จัดให้เลย แล้วของพี่ละ ขนาดวันเกิดยังไม่ได้จัดมาสามปีแล้วไม่ใช่หรือ”
หวังเยว่ชิงขยับถอยหลังไปประชิดขอบสระน้ำทีละน้อย ๆ ไม่ให้มีใครสังเกตเห็น
“ปากดีนักนะแก” หยุนชีกัดฟันอยากจะยกมือตบหน้าสั่งสอนคนที่ปากดีนัก แต่ต้องชั่งใจเอาไว้ ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้อีก
“ไม่ใช่ปากดีอย่างเดียวนะ ยังสมองดีอีกด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงทำให้ทุกคนเกลียดพี่ไม่ได้หรอก เป็นไงรสชาติของคำว่าหมาหัวเน่า รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เมื่อถูกกระตุ้นต่อมโมโห มีหรือหานหยุนชีจะทนได้ สองเท้าขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย แต่ยังไม่ได้ทำอะไร คนที่พูดจายุแหย่ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาก่อน
“พี่หยุนชี ฉันไม่อยากที่จะทำอะไรเกินหน้าเกินตาพี่จริง ๆ นะคะ”
หยุนชีมีสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจว่าน้องสาวบุญธรรมเป็นบ้าอะไร ยังไม่ทันจะรู้เรื่องก็ถูกน้องสาวคว้าตัวตกลงไปในน้ำเสียก่อน จนกระทั่งใกล้หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าเป็นแผนการใส่ร้าย รวมไปถึงหวังผลให้เธอตายด้วย
“ฮึก! ๆ พ่อแม่ ไม่ว่าจะชาติภพไหน ทำไม...ทำไมถึงไม่รักลูกเลย”
ร่างบอบบางสวมใส่ชุดคนป่วยของโรงพยาบาล นอนละเมออยู่บนเตียงคนไข้ หยดน้ำตาของความเสียใจ อัดอั้นตันใจหลั่งไหลออกมา คำตัดพ้อหลุดรอดผ่านริมฝีปาก จนคนตัวสูงที่นั่งเฝ้าได้ยิน รีบลุกเดินเข้ามาใกล้เงี่ยหูคอยฟัง ว่าคนป่วยละเมอพูดว่าอะไร
“ลูกไม่ดีตรงไหน ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนรัก แต่กลับไม่มีใครรัก ผิดกับน้องสาวทำตัวตีสองหน้าแค่ไหน ทำไมมีแต่คนรัก ให้ลูกตายใช่ไหม ทุกคนถึงจะพอใจ ถ้าลูกตายไป พ่อแม่จะรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่าหนอ”
แม้เสียงละเมอจะแผ่วเบา แต่เก่อหลางก็จับใจความได้ แววตาของเขาเริ่มสับสนกับประวัติในเรื่องความร้ายกาจของหญิงสาว ที่ชอบหาเรื่องน้องสาวบุญธรรมของตนเอง พอได้ฟังสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย บวกกับท่าทีของคนสกุลหานที่ปล่อยให้ลูกสาวคนรองจมน้ำจนหยุดหายใจไปชั่วขณะนั้น ภายในใจของเขาเกิดความรู้สึกสงสารคู่หมั้นของตัวเองขึ้นมา
ปลายนิ้วจึงเอื้อมไปเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลออกมาจากพวงแก้มนุ่มอย่างเบามือ ไม่แน่ใจแล้วว่า ที่ผ่านมาหญิงสาวต้องแบกรับอะไรไว้มากน้อยแค่ไหน
ไออุ่นเพียงเล็กน้อย ที่แก้วตาหรือหานหยุนชีได้รับ ทำให้แพขนตางอนขยับเปิดขึ้น กะพริบตาถี่ ๆ จนคุ้นชินกับแสงสว่าง และได้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรลอยอยู่เหนือร่างกายของตนเอง
“ที่นี่คือสวรรค์หรือ ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ด้วย” เป็นเพราะได้เจอหนุ่มหล่อละมุน ทำให้คนที่พึ่งฟื้นคืนสติ คิดว่าตนเองตายไปแล้ว จนกระทั่งผ่านไปสักพัก สมองถึงเริ่มทำงานจดจำภาพความทรงจำทั้งตอนที่เป็นแก้วตา และความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้
“ไม่สิ ฉันตายไปแล้ว แต่มาอยู่ในร่างของคนอื่นแทนนี่นา”
แก้วตาจำได้แล้ว ว่าตายจากโลกปัจจุบันและได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหญิงสาวยุคจีนสมัย80-90แทน แต่ในความทรงจำกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนหล่อตรงหน้าเลย เธอจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
“ที่นี่คือที่ไหน แล้วคุณคือใครคะ” หญิงสาวตัดสินใจเอ่ยถามตามตรง พร้อมกับดันตัวลุกขึ้นมานั่ง
“คุณจมน้ำ ผมเป็นคนลงไปช่วย แล้วพามาส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นคุณหยุดหายใจไปแล้ว ผมจึงไม่กล้าทิ้งคุณเอาไว้คนเดียว”
จูเก่อหลาง เห็นหญิงสาวฟื้นคืนสติ แม้จะพูดจาดูเลอะเลือนไปบ้าง ก็รู้สึกโล่งใจ ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง จ้องมองสำรวจท่าทีคู่หมั้นของตัวเอง
“อย่างนี้นี่เอง” หายหยุนชีสีหน้าสลด ยามหวนคิดถึงสาเหตุการตายของหยุนชีตัวจริง “ถ้าไม่ได้คุณยื่นมือช่วยเหลือ หยุนชีคงได้ตายไปจากโลกนี้จริง ๆ ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ บุญคุณครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมเลย ถ้ามีโอกาสฉันจะตอบแทนบุญคุณแน่นอน หรือคุณอยากให้ฉันช่วยอะไร ก็บอกมาได้เลยค่ะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่” หญิงสาวหันมาโค้งศีรษะคำนับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต จนทำให้วิญญาณของเธอ ได้กลับมามีตัวตนอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ร่างกายของตัวเองและยุคสมัยที่เคยอยู่ก็ตาม
“คนพวกนั้นคงเป็นครอบครัวของคุณ ทำไมคุณถึงคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้คุณตาย” เมื่อหญิงสาวไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน สู้ปิดเอาไว้ จะได้ใช้โอกาสนี้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของคู่หมั้นของเขาจะดีกว่า
หยุนชีได้ฟังคำถามของหนุ่มหล่อ แววตาดำมืดแฝงแววเย็นชาอยู่ในนั้น “ถ้าพวกเขาไม่อยากให้หยุนชีตาย พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เธอตะเกียกตะกายจนหมดแรง จมหายไปในน้ำแบบนั้นหรอก แล้วที่สำคัญเลย ถ้าหยุนชีตาย พวกเขาคงจะมีความสุขมากกว่า การที่หยุนชีมีชีวิตอยู่” น้ำเสียงเจ็บปวดข่มขืนเสียจนคนฟังสัมผัสได้ ภายในใจของหญิงสาวจากยุคสมัยปัจจุบันก็เช่นกัน ทั้งเจ็บปวด ทั้งแสนเศร้ากับชะตาชีวิต ที่คนในครอบครัวไม่รัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่บุญธรรม หรือพ่อแม่ที่ให้กำเนิด...
