บทที่19 ฤดูหนาว
หิมะตกกลางดึกหลังจากที่พี่ชายใหญ่โจวกลับมาได้เพียงสี่วัน และเพราะพี่ชายใหญ่โจวบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถมาช่วยในเรื่องอื่น ๆ ได้ เหอเสี่ยวหงกับสะใภ้ใหญ่ช่วยกันปัดหิมะออกจากหลังคาโดยใช้ไม้ช่วย ส่วนเด็ก ๆ ก็จะมีออกมาช่วยปัดลานหน้าบ้านเพราะอากาศหนาวจึงไม่อยากให้ออกมาข้างนอก
“ปีนี้น่าจะหนาวมาก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้น
ตอนนี้เหอเสี่ยวหงกับสะใภ้ใหญ่ช่วยกันปัดหิมะบนหลังคาออก หากมันทับถมมากไปจะทำให้หลังคาถล่มลงได้
“ใช่” เหอเสี่ยวหงเห็นด้วย
“ยังดีที่เราเตรียมฟืนไว้แล้ว” สะใภ้ใหญ่ยิ้มก่อนจะวางไม้ลงกับพื้นข้างบ้าน เอาไว้ปัดหิมะออกในครั้งต่อไป
”นั่นสิ พี่ก็ดูฟืนให้พี่ชายใหญ่โจวด้วยนะคะ พี่ชายใหญ่โจวบาดเจ็บอยู่ร่างกายไม่แข็งแรง อาจป่วยหนัก” เหอเสี่ยวหงบอก
เหอเสี่ยวหงไม่รู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาเพราะทั้งชีวิตยุคอนาคตกับยุคนี้เธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับแพทย์เลย แต่ก็พอจะเดาอาการได้อยู่
“ได้ ๆ พี่ดูตลอดเลย” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า
“เรื่องการกินพี่ก็ทำอาหารอ่อน ๆ ให้เถอะค่ะ” เหอเสี่ยงหงว่าพลางเดินเข้าห้องครัว
เวลานี้เพิ่งจะเช้าและยังไม่ได้ทำกับข้าวอะไรกินเหอเสี่ยวหงจึงเลือกที่จะเข้าครัวมากกว่ากลับไปนอนต่อเพราะกวาดหิมะทั้งคืน มันมี 2 เตา และสะใภ้ใหญ่เข้ามาทำกับข้าวของบ้านใหญ่ด้วยทำให้เหอเสี่ยวหงต้องหุงข้าวไว้ก่อน
เหอเสี่ยวหงเอาหัวไชเท้า แครอทหั่นฝอยดองออกมาครึ่งชั่ง วันนี้เหอเสี่ยวหงจะนำมาคลุกกับข้าวผสมสาหร่ายอบแห้ง มีไข่ต้ม กินกับน้ำซุปกระดูกหมูที่เหลือไว้ค้างคืนเมื่อคืนนี้
เหอเสี่ยวหงรอให้ข้าวสุกจากนั้นจึงยกออกจากเตา นำหัวไชเท้า แครอทดองหั่นฝอยไปต้มให้นิ่ม ตักใส่ชามรอบด ระหว่างนั้นก็อุ่นน้ำซุปกระดูกหมูรอ เหอเสี่ยวหงหันมาบดหัวไช้เท้า แครอทหั่นฝอยต้มให้ละเอียด คนให้เข้ากันจนเย็น นำข้าวลงมาคลุกให้เข้ากัน ตามมาด้วยสาหร่ายอบแห้งที่ถูกโรยหน้ากับข้าว
เพราะตอนนี้ฤดูหนาวแล้วและเหอเสี่ยวหงไม่สามารถเข้าอำเภอได้หากจะกินเนื้อแห้งตลอดมันคงไม่พ้นในฤดูหนาวนี้ แต่ถ้าจะกินเนื้อสดก็คงจะไม่ได้ เหอเสี่ยวหงจึงปรับเปลี่ยนเป็นการทำน้ำซุปแทน
เมื่อคลุกข้าวเสร็จแล้วก็ใช้จานปิดชามไว้เพราะเด็ก ๆยังไม่ตื่นกัน ส่วนน้ำซุปกระดูกหมูเหอเสี่ยวหงเอาฟืนออกจากเตาให้เหลือเพียงถ่านแดง ๆ ก็พอ
“เอ้อร์นี ซานนี อู๋นี ลิ่วนี ตื่นได้แล้วจ้ะ” เหอเสี่ยวหงเดินมาปลุกลูกสาวในห้องนอน
เด็ก ๆ อีกสามคนย้ายมานอนห้องเดียวกันกับเหอเสี่ยวหงและโจวลิ่วนีแล้ว ถึงเตียงเตามันจะเล็กแต่เหอเสี่ยวหงอุ่นใจให้เด็ก ๆ มานอนด้วยมากกว่า ทั้งยังประหยัดฟืนในการทำให้ร่างกายอุ่นอีกด้วย
“หาวว คุณแม่” และก็ยังเป็นโจวเอ้อร์นีเหมือนเดิมที่ตื่นก่อนใคร
“เช็ดหน้ากันจ้ะ น้ำกำลังอุ่น ๆ อยู่เลย” เหอเสี่ยวหงเทน้ำจากกระติกน้ำร้อนที่เธอเก็บไว้ในมิติทั้งคืนออกมาวางไว้ในตู้เมื่อกี้ ผสมกับน้ำเย็น ๆ ในบ่อนิดหน่อยเพราะน้ำร้อนเกินไป
“แม่ แม่” ตามมาด้วยโจวลิ่วนีที่ตื่นเพราะหล่อนได้กลิ่นนม
“อะไรจ๊ะ?” เหอเสี่ยวหงยิ้ม
เหอเสี่ยวหงกำลังชงนมผงใส่แก้วให้เด็ก ๆ ดื่มเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เธอไม่ค่อยว่างและส่วนมากจะใช้นมสดมากกว่านมผง เด็ก ๆ ชอบนมผงกันมากเมื่อคืนจึงขอให้เธอชงนมผงให้
“นมหอม” โจวลิ่วนีดึงแขนเสื้อเธอ
“ยังดื่มไม่ได้ ต้องปลุกพี่ ๆ ก่อน” เหอเสี่ยวหงบอก
แต่เด็ก ๆ ทยอยพากันตื่นแล้ว เหอเสี่ยวหงจึงยื่นกะละมังใบเล็กที่มีน้ำอุ่นแล้วก็ผ้าเช็ดตัวที่เอาไว้เช็ดหน้าให้คนละผืน
“ล้างหน้าให้เสร็จก็มาดื่มนม เสร็จแล้วก็ออกไปกินข้าว” เหอเสี่ยวหงอุ้มลูกสาวคนเล็กลงจากเตียงเตา
มองลิ่วนีที่กำลังยกแก้วดื่มนมก่อนจะเดินออกจากห้องเพราะจะไปเตรียมข้าว เหอเสี่ยวหงตักน้ำซุปกระดูกหมูใส่ถ้วยเล็ก ๆ 5 ถ้วย จากนั้นนำหม้อไปล้างแล้วตักน้ำมาต้มเพราะตอนนี้น้ำร้อนหมดแล้ว จากนั้นปอกแอปเปิล องุ่นใส่ถ้วยอย่างละนิด
นำข้าวที่ถูกคลุกกับผักดองและสาหร่ายใส่ถ้วยเล็กคนละทัพที พร้อมทั้งยกกับข้าวไปไว้บนโต๊ะ เพราะเด็ก ๆออกมานั่งรอกินข้าวแล้ว
“มันคืออะไรคะ” โจวอู๋นีถาม
“แม่ ทำไมไม่มีเนื้อ” โจวซานนีกำลังจะโวยวายแต่โดนเหอเสี่ยวหงพูดตัด
“ทำไมจ๊ะ? หนูจะไม่กินข้าวใช่ไหม หื้ม” เหอเสี่ยวหงทำหน้านิ่ง
“แต่มันไม่มีเนื้อ” โจวซานนีน้ำตาคลอ
ตลอดยะระเวลาสองเดือนมานี้หล่อนจะมีเนื้อกินทุกวันทำให้หล่อนชอบมาก แต่วันนี้แม่กลับไม่ทำกับข้าวที่มีเนื้อถึงแม้จะมีน้ำซุปกระดูกหมูก็เถอะ
“วันนี้พวกลูกได้ดื่มนมผงแล้ว” เหอเสี่ยวหงบอกก่อนจะตักกระดูกหมูขึ้นมาเลาะเนื้อที่ติดกระดูกอยู่ให้โจวลิ่วนีลูกสาวคนเล็กของเธอ
“อู้วว อร่อยยย”
ในขณะที่เหอเสี่ยวหงกับโจวซานนีกำลังคุยกันอยู่ โจวลิ่วนีที่มีแม่ของให้ความสะดวกจึงได้ชิมเป็นคนแรก
จากนั้นทั้งหมดก็ลงมือในการกินข้าวมื้อนี้ ช่วยกันเก็บและเหอเสี่ยวหงนำไปล้างจากแต่ก่อนคว่ำไว้ให้แห้ง เหอเสี่ยวหงเปลี่ยนมาเช็ดให้แห้งแล้วคว่ำไว้แทน
เทน้ำร้อนในหม้อใส่กระติกน้ำร้อน เมื่อเห็นว่าไฟยังมีอยู่จึงต้มน้ำอีกรอบ เผื่อว่าบ้านใหญ่จะใช้เพราะไฟยังแดงอยู่ยังไงก็ไม่ได้ใช้แล้ว
เดินออกไปดูหิมะที่กำลังตกข้างนอกแล้วกวาดหิมะออกจากหลังคา ตอนนี้หิมะกำลังบางช่วงเย็น ๆ หิมะจะหนามากลากยาวจนถึงเช้าเลย
เมื่อกวาดหิมะเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำเหอเสี่ยวหงจึงจะไปเย็บผ้า
เสียงเย็บผ้าดังขึ้นเบา ๆ ในห้องเย็บผ้าของเหอเสี่ยวหง วันนี้เธอจะตัดชุดให้ลูกสาวทั้งสี่ เนื่องจากหิมะตกทำให้แสงไม่ค่อยมีกับอากาศเย็นเพราะไม่มีเตียงเตาเหอเสี่ยวหงจึงจุดเทียนไว้หลายแท่ง
“สีฟ้า สีน้ำเงิน สีขาว ถูกไหม” เหอเสี่ยวหงนับสีผ้าที่จะใช้ในการตัดและแบบที่เขียนขึ้น โดยในปัจจุบันที่เหอเสี่ยวหงจากมา เธอเรียนจบด้านแฟชั่นแต่ไม่ได้ทำงานด้านนี้เพราะต้องดูแลสวน
“อ้าา ขาดสีดำหรือเปล่า” เหอเสี่ยวหงระบายสีชุดในแบบที่วาด
“ครบแล้ว”
เหอเสี่ยวหงเย็บผ้าไม่นานก็ต้องลุกออกมาหาของว่างให้เด็ก ๆ ก่อนเพราะยังไม่ได้ทำอาหารกลางวัน
หั่นสาลี่สองผลกับพุทรากำหนึ่งใส่จาน แล้วนำไปให้เด็ก ๆ และยังผสมผงขิงใส่น้ำอีกด้วย
เมื่อนำไปให้แล้วจึงเข้าครัวอีกรอบเพราะจะทำอาหารกลางวัน เหอเสี่ยวหงหุงข้าวหนึ่งเตาส่วนอีกเตาเธอจะกับข้าว โดยนำไก่ตากแห้งรสเค็มไปทุบให้ละเอียดก่อนจะนำลงไปคั่วในกระทะให้สุก เทน้ำลงไปให้พอดีจะใช้ราดข้าว ปรุงรสให้อร่อยก่อนจะยกลงจากเตาหาอะไรปิดไว้เพราะข้าวยังไม่สุก
“เธอทำเสร็จหรือยัง” สะใภ้ใหญ่เอ่ยถาม
เหอเสี่ยวหงไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่เดินมาตอนไหน เพราะกำลังเหม่อหันหลังให้ประตูอยู่จึงสะดุ้งตกใจ
“โอ้ ตกใจหมด” เหอเสี่ยวหงอุทาน
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ถามอีกรอบ
เพราะสะใภ้ใหญ่เห็นแววตาของเหอเสี่ยวหงที่เป็นน้องสาวพ่วงน้องสะใภ้แดงจึงถามเพราะเป็นห่วง
“เปล่าค่ะ พี่จะทำอาหารใช่ไหม เตาหนึ่งฉันหุงข้าวอยู่” เหอเสี่ยวหงเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอยู่ จากนั้นจึงเดินไปห้องเย็บผ้า
ไม่รู้ว่าสามีของเธอจะเป็นยังไง เขาไม่ได้ติดต่อมาเลยหลังจากที่ไปทำงานที่มณฑลอื่น ยิ่งหิมะตกหนักเธอยิ่งเป็นห่วง ไหนจะลูกที่เธอแท้งสามีของเธอยิ่งรอคอยให้เขาเกิดมาแต่เธอกลับรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหล จากที่ตอนแรกน้ำตาคลอเริ่มเปลี่ยนเป็นสะอื้น หากเขากลับมาเขาจะหย่ากับเธอหรือเปล่าที่รักษาลูกไว้ไม่ได้
มณฑลฉงชิ่ง
ชายฉกรรจ์หลายคนนั่งโต๊ะทำงานเอกสารอยู่ภายในตึกแห่งหนึ่ง ข้าง ๆ กันจะมีโต๊ะชงกาแฟอยู่ และยังมีคนยืนชงกาแฟอยู่
“พลตำรวจโจว ผู้บังคับเรียกครับ” ชายคนนั้นทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากห้องไป
มีใครบางคนลุกขึ้นจากโต๊ะเก็บเอกสารที่กำลังทำอยู่ลงไว้ใต้ลิ้นชักของโต๊ะ ก่อนจะเดินตามออกไปข้างนอก
“ผมคิดว่าเขาได้เลื่อนขั้นอีกแน่ ๆ” ชายคนนั้นลุกออกจากโต๊ะเดินไปหากลุ่มที่กำลังชงกาแฟอยู่
“แน่นอนน่ะสิ! เขาทำงานมาเกือบ 10 ปีแล้ว” คนที่กำลังชงกาแฟพูด
“เขาทำภารกิจผ่านเร็วจริง ๆ” ชายอีกคนพูดด้วยความอิจฉา
พวกเขาเข้ามาเป็นตำรวจรุ่นเดียวกันทั้งหมดเกือบยี่สิบคน มีเพียงพลตำรวจโทคนนี้เท่านั้นที่มีตำแหน่งสูงขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ พลตำรวจตรีในรุ่นยังใช้เวลาเกือบสิบปี แต่พลตำรวจโทโจวใช้เวลาไม่ถึงห้าปีก็ถูกเลื่อนขั้น เขาถูกสั่งย้ายจากที่ไปประจำการอยู่มณฑลอื่นถูกย้ายมาประจำการที่นี่ หลายคนจึงคิดว่าเขาต้องได้เลื่อนขั้นอีกแน่
บ้านพักตำรวจ
บ้านพักตำรวจหลังนี้มีสี่ห้อง แต่อาศัยอยู่สิบคน โดยที่อยู่ห้องละสามคน
มีเพียงพลตำรวจโทโจวที่อยู่คนเดียว ตอนนี้เขากำลังเก็บของย้ายบ้านพักเพราะเขาได้เลื่อนตำแหน่ง หลายปีมานี้เขาทำงานหนักเพราะอยากเลื่อนตำแหน่งให้สูง ๆ ภรรยากับลูกสาวของเขาจะได้สบาย ทำงานหนักชนิดที่ว่าไม่มีเวลาส่งจดหมายหรือเงินกลับไปให้ที่บ้านเลย
หลายเดือนมานี้เขาถูกย้ายกลับมาที่เริ่มประจำการก่อนที่ขอย้ายไปประจำการบ้านเกิด เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้ลาหยุด ทั้งที่ตั้งแต่เขาเป็นตำรวจมายังไม่เคยได้หยุด แต่ก็ไม่ถามผู้บังคับบังชาตัวเอง
ทั้งตอนนี้เขาได้วันลามาจึงคิดจะกลับบ้าน ของที่ต้องการจะเก็บมีเพียงน้อยนิดเพราะมันไม่มีอะไรมาก
“พี่ชายโจวเก็บของทำไมเหรอ?” เป็นตำรวจรุ่นน้องที่พักอยู่บ้านพักเดียวกันเอ่ยถาม เขาปรายตามองก่อนจะตอบกลับเสียงนิ่ง
“กลับบ้าน”
เขาไม่ได้สนิทกับใครมากนักแต่ก็ยังพอมีสหายที่ชอบชวนเขาไปหาอะไรกินบ่อย ๆ อยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไปด้วยเพราะอย่างน้อยมีมิตรดีกว่าไม่มี
“โอ้ พี่ได้วันลาด้วย!” ชายคนนั้นอุทาน
เขาเพิ่งเข้ามาประจำการได้ไม่กี่เดือนจึงไม่แปลกที่ลาไม่ได้ ซึ่งเขาชอบแลกวันลาโดยที่จ่ายเงินให้คนที่มีวันลา ผู้ชายคนนี้ที่บ้านมีฐานะปานกลางไปจนถึงรวยไม่อย่างงั้นเวลาทำงานเขาจะอยู่ที่บ้านพักได้ยังไง เขาไม่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้ใช้เส้นสายเข้ามาหรือเปล่าเพราะเวลากลับมาบ้านพักเขาจะเห็นรุ่นน้องคนนี้กลับมาเร็วตลอด
“อืม” เขาตอบ
“แลกกันไหม” รุ่นน้องกระซิบถาม
“ไม่” เขาปฏิเสธ
“วันละหยวน” รุ่นน้องยังเซ้าซี้ เนื่องจากเขาแลกวันลาให้ตัวเองและให้คนอื่นทำงานแทนก็เลยยังไม่ได้วันลา ที่นี่มันเป็นแบบนี้มานานแล้วตำรวจยศใหญ่ ๆ เลยปล่อย เดือนนี้มันเข้าฤดูหนาวแล้วเลยไม่มีใครเปลี่ยนวันลาถึงแม้อยากเปลี่ยนมากก็ตามเถอะ ซึ่งเขายังไม่ได้ใบลาเลย!
พลทหารโทโจวที่ตอนนี้รอหมดวันลาจะได้รับการเลื่อนเป็นพลทหารเอกไม่ได้สนใจเขา พอเก็บของเสร็จเขาก็เดินออกจากบ้านพักเพื่อไปดูบ้านพักที่ต้องย้ายไปอยู่ใหม่
บ้านพักหลังใหม่เขาอยู่คนเดียวและสามารถพาครอบครัวมาอยู่ด้วยได้ จริง ๆ หากพักในบ้านพักก็สามารถพักได้แล้วเพียงแต่ต้องพักห้องรวมสำหรับคนที่มียศต่ำกว่าพลตำรวจตรี อย่างเขาที่นอนในห้องคนเดียวก็สามารถพาครอบครัวมาได้แต่เพราะในบ้านมีผู้ชายคนอื่นเขาจึงไม่ได้พามา
เมื่อเลือกบ้านเสร็จเขาก็ลงชื่อจองไว้แล้วกลับไปหาสหายเพื่อบอกว่าจะกลับบ้านเกิด
ก่อนจะซื้อตั๋วรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟกลับบ้าน เนื่องจากเป็นฤดูหนาวคนจึงไม่ค่อยเดินทาง รถไฟบ้างสายถึงขั้นปิดการเดินทางจนกว่าจะสิ้นฤดูหนาวด้วยซ้ำ ยังดีที่มณฑลของเขายังไม่ได้ปิด
