บท
ตั้งค่า

บทที่18 พี่ชายใหญ่โจว

‘สะใภ้ใหญ่โจว!’

‘สะใภ้โจว!’

‘มีใครอยู่ไหม?’

‘สะใภ้รอง!’

‘บ้านโจวมีคนอยู่ไหม!’

‘ไม่มีคนอยู่เหรอ?’

เสียงเอะอะวุ่นวายหน้าประตูรั้วที่อยู่ห่างจากลานบ้านไม่ไกลดังขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่เหอเสี่ยวหง

กับสะใภ้ใหญ่ที่กำลังจะเปลี่ยนจากถักไหมพรมมาเป็นเย็บผ้าต้องออกไปดู

“มีอะไรกัน”

เหอเสี่ยวหงเปิดประตูรั้วพลางยืนมองชาวบ้านเกือบสิบคนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน

“โอ้! โจวจือหยวนกลับมาแล้ว"

“ลูกชายใหญ่บ้านรองโจวกลับมาแล้ว”

“สามีเจ้ากลับมาแล้วสะใภ้ใหญ่โจว”

“ใช่ ๆ”

“อาจือหยวนกลับมาแล้ว”

“เขาบาดเจ็บด้วยนะ!”

“ใช่! ผ้าพันแผลเต็มเลย”

“สามีฉันกลับมาแล้ว!” สะใภ้ใหญ่อุทาน

เรื่องที่สามีหล่อนบาดเจ็บไม่มีใครรู้มากนักเพราะนางหลี่ซือกลัวเสียหน้าจึงบอกให้ลูกสะใภ้กับหลานสาวเงียบปากไว้ แม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่ในตระกูลโจวก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ จึงมีหลายคนที่ไม่เข้าใจการกระทำของนางหลี่ซือ

“ใช่”

“เขาบาดเจ็บกลับมาด้วย”

“แผลใหญ่มาก”

“พี่ชายใหญ่โจวอยู่ที่ไหน” เหอเสี่ยวหงถาม

เพราะเรื่องที่พี่ชายใหญ่โจวบาดเจ็บบ้านโจวรู้จักกันหมดผ่านจดหมายของสหายพี่ชายใหญ่โจว ทำให้ไม่ได้แตกตื่นนักเพราะสหายพี่ชายใหญ่โจวบอกว่าไม่ร้ายแรงเท่าไร แต่ก็ไม่สามารถเข้าร่วมภารกิจอื่น ๆ ได้แล้ว พี่ชายใหญ่โจวจึงเลือกที่จะลาออกและได้เงินบำเหน็จมาแทน

“อยู่บ้านรองโจวน่ะสิ นางหลี่ซือก็อยู่” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น

“เดี๋ยวพวกฉันตามไปค่ะ”

เหอเสี่ยวหงบอกก่อนจะปิดประตูรั้ว แล้วหัวไปบอกสะใภ้ใหญ่ที่กำลังนิ่งอยู่

“เข้าบ้านกันก่อนเถอะค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอกก่อนจะเดินเข้าบ้าน

ที่เธอไม่ตกใจหรืออะไรเลยก็เพราะพี่ชายใหญ่โจวไม่ใช่สามีของเธอ มันจึงไม่ได้ผูกพันธ์อะไรกัน ผิดกับสะใภ้ใหญ่ที่เป็นสามีของหล่อนกับพ่อของลูกย่อมต้องผูกพันธ์กันไม่มากก็น้อย ถึงจะทำใจไว้แล้วก็เถอะ

“ต้านี เอ้อร์นีจ๊ะ”

เหอเสี่ยวหงเปิดประตูห้องเรียกหลานสาวคนโตกับลูกสาวคนโตของเธอ

“คะ?” “คะคุณอารอง”

สองเสียงเล็ก ๆ ประสานเสียงกันตอบรับ

“อากับแม่ของหนูจะออกไปข้างนอกดูแลน้อง ๆ ด้วยนะ” เหอเสี่ยวหงบอกหลานสาว ก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาว

“ถ้าแม่หรือป้าสะใภ้ไม่เรียกไม่ต้องเปิดบ้านเข้าใจไหม” เหอเสี่ยวหงบอก

“อยู่เงียบ ๆ กันนะ ปิดบ้าน ลงกลอนประตู หน้าต่างให้หมด”

เด็ก ๆ พยักหน้ารับ

“ไปกันเถอะค่ะ” เหอเสี่ยวหงหันไปบอกสะใภ้ใหญ่

บ้านรองโจว

‘โอ้! ทำไมหลานชายฉันเป็นแบบนี้!’

‘เกิดอะไรขึ้น’

‘สะใภ้ใหญ่รู้หรือยัง’

‘ทำไมไม่มีใครบอก’

‘แผลต้องใหญ่มากแน่ ๆ’

‘ลูกชายคนโตของบ้านรองโจวเป็นอะไรน่ะ?’

‘ทำไมไม่เอาเขาเข้าบ้าน’

‘นั่นน่ะสิ’

‘อากาศก็เย็น นางหลี่ซือทำเกินไปแล้ว’

‘โอ้ มีทหารมากับอาจือหยวนด้วย!’

‘หลานชายบาดเจ็บหรือ’

‘โอ้ บ้านรองโจวเกิดอะไรขึ้นกัน!’

ชาวบ้านหลายคนยืนมุงอยู่บ้านรองโจวที่หน้าบ้านเพราะนางหลี่ซือไม่ยอมให้เอาโจวจือหยวนเข้าบ้าน เพราะบอกว่าแยกบ้านกันแล้ว โจวจือหยวนจึงไม่มีสิทธิ์

ในบ้านหลังนี้ ทั้ง ๆ ที่คนต้องได้บ้านหลังนี้ต้องเป็นโจวจือหยวนอยู่แล้ว

“คุณผู้หญิงครับ เราต้องให้จือหยวนเข้าบ้าน” สหายของพี่ชายใหญ่โจวพูดขึ้น

“เข้าอะไร? นี่มันบ้านลูกชายฉัน! อยากเข้าก็ไปอยู่กับลูกกับเมียมันสิ!” นางหลี่ซือว่าพลางถ่มน้ำลายลงพื้น

“ถุ้ย! ถ้าไม่จะตายก็ไม่กลับมาสินะ” นางหลี่ซือยืนกันหน้าประตู

“นี่มันไม่ใช่บ้านรองโจวหรือ?” สหายอีกคนพูดขึ้น

‘ใช่! นี่บ้านรองโจวรุ่นปัจจุบัน’

“แค่ก ๆ ภรรยากับลูกสาวผมอยู่ไหน” พี่ชายใหญ่พูดขึ้น

เขาบาดเจ็บที่แขนและขาทำให้ไม่ค่อยมีแรง หลังจากรักษาอยู่ที่ค่ายทหารเป็นเดือนเขาจึงได้บอกให้สหายมาส่ง

“เหอะ! หนีตามผู้ชายไปแล้วมั้ง” นางหลี่ซือแค่นหัวเราะ เพราะนางไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ออกมาจากบ้านเลยหลังจากที่แยกบ้านกันแล้ว นางจึงคิดแบบนั้น

“ระวังปากด้วย” เหอเสี่ยวหงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“คุณ! ฮือออ” สะใภ้ใหญ่ร้องเรียกสามีก่อนจะวิ่งไปหา

“แค่ก ๆ คุณ” พี่ชายโจวถูกสหายดันหลังให้ลุกขึ้น

“เหอะ” นางหลี่ซือไม่พอใจ นางคิดว่าสะใภ้ใหญ่ต้องหนีไปแน่ ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

“การพูดให้คนอื่นเสียหายโดยที่ไม่มีหลักฐานมันไม่ดีนะคะ” เหอเสี่ยวหงเอ่ยออกมา

“ใช่แล้ว สหายหญิงท่านนี้พูดถูก” สหายพี่ชายใหญ่โจวพูดขึ้น

‘โอ้ ใช่แล้ว’

‘นางหลี่ซือก็พูดเกินไป’

‘ใช่’

“หรือจะบอกว่าไม่จริง? หึ หล่อนแยกบ้านออกไปแล้วนี่จะเกี่ยวอะไรกับบ้านรองโจวอีก!” นางหลี่ซือที่เห็นมีคนเข้าข้างเหอเสี่ยวหงก็รีบหาอะไรมาอ้าง

“เราแยกบ้านกันเพราะอะไร คุณก็น่าจะรู้” เหอเสี่ยวหงบอก

“เธอจะพูดทำไม?” แม่เฒ่าโจวรีบพูดขึ้นเพราะกลัวว่าหลานสาวหรือสะใภ้ของนางจะถูกนินทา

“คุณย่าคะ? ฉันพูดผิดตรงไหน” เหอเสี่ยวหงว่า ก่อนจะหันไปคุยกับสะใภ้ใหญ่ เพราะไม่อยากจะสนทนาตรงหน้าแล้ว

“พี่สะใภ้ใหญ่ พาพี่ชายใหญ่โจวกลับบ้านเรากันเถอะค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอก

ชาวบ้านหลายคนเริ่มสลายตัวเพราะโจวจือหยวนต้องเปลี่ยนที่พัก บางคนก็เดินตามรถทหารไปบ้านเหอ

บ้านเหอ

“ต้านี เอ้อร์นี!” เหอเสี่ยวหงตะโกนเรียกเด็ก ๆ

“เอ้อร์นีแม่เอง” เหอเสี่ยวหงเรียกอีกรอบ

‘กำลังไปค่าา!’ เสียงตอบรับตะโกนดังขึ้น

จากนั้นเหอเสี่ยวหงก็ได้ยินเสียงวิ่งออกมาหน้าประตูรั้วก่อนที่ประตูจะเปิดออก ตามด้วยเสียงของลูกสาว

“แม่!”

โจวเอ้อร์นีว่าพลางเดินไปอยู่ข้างหลังเหอเสี่ยวหงเพราะหล่อนเห็นคนตามมาด้วยเยอะ

“จ๊ะ เข้ามากันเถอะค่ะ” ตอบลูกสาวก่อนจะหันไปบอกข้างหลัง

นอกจากทหารที่มากับพี่ชายใหญ่โจวเหอเสี่ยวหงก็ไม่ให้ใครเข้ามาในบ้าน อย่างญาติ ๆ ตระกูลโจวก็ถูกเหอเสี่ยวหงปิดประตูลงกลอนต่อหน้าเหมือนกัน ทำให้หลายคนเดินกลับบ้านแล้วก็มีหลายคนที่ยังอยู่ต่ออีก

“นั่งพักกันก่อนเถอะค่ะ ฉันจะไปตักน้ำให้” เหอเสี่ยวหงบอกสหายพี่ชายใหญ่โจว 6 คนที่นั่งโต๊ะอยู่ในห้องโถงของบ้าน

เพราะสะใภ้ใหญ่ให้สหายของสามีหามสามีเข้าไปในห้อง หล่อนจึงอยู่ดูแล โดยฝากให้เหอเสี่ยวหงดูแลสหายของสามี สหายของพี่ชายใหญ่โจวเหอเสี่ยวหงเคยพูดคุยกันหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้สนิทกันเพราะเธอเป็นหญิงไม่จึงไม่เหมาะหากจะให้พูดคุยกันแบบสนิทสนม

“น้องสะใภ้เหอไม่ต้อง ๆ” ชายหนุ่มคนหนึ่งปฏิเสธ

“จะได้อย่างไรกัน? พวกคุณพาพี่ชายใหญ่โจวมาส่งก็ต้องดูแลสิ พักกินข้าวก่อนเถอะค่ะค่อยไป” เหอเสี่ยวหงบอกก่อนจะหิ้วกระติกน้ำร้อนที่มีไมโลนมสดที่อยู่บนโต๊ะไปด้วย

เพราะค่านิยมของชายหญิงในยุคนี้ไม่เหมือนยุคอนาคต ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดถึงจะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม หากจะไปไหนด้วยกันก็ต้องพกใบทะเบียบสมรสไปด้วยเพื่อยืนยันตัวตน และด้วยความที่บ้านไม่มีสามีของเธอมันจึงไม่เหมาะหากจะให้ชายฉกรรจ์หลายคนนอนพัก

เหอเสี่ยวหงจุดเตาเพื่อต้มน้ำร้อน เธอจะผสมขิงใส่มันจะทำให้ร่างกายอบอุ่น อากาศไม่ได้ร้อนและมันก็เริ่มเย็นขึ้น จึงไม่เหมาะหากจะให้ดื่มน้ำเย็น ๆ ส่วนอีกเตาเธอจะหุงข้าว เพื่อกินกับสามชั้นผัดขิงและผักกวางตุ้งดอง แล้วก็น้ำแกงกระดูกหมูที่มีมันติด เหอเสี่ยวหงได้ทำกับข้าวจำนวนมาก

เพราะกลัวจะไม่เพียงพอต่อกระเพาะของชายฉกรรจ์ทั้งหลาย ส่วนกับข้าวของลูกเธอนั้นมีโจ๊กหมูก้อนอยู่แล้วจึงไม่ได้ทำเพิ่ม

เมื่อต้มน้ำเสร็จเหอเสี่ยวหงก็ตักน้ำขิงในกระปุกใส่หม้อที่มีน้ำครึ่งหม้อหลายช้อนเพราะไม่ใช่ของเด็กหรือของเธอ เหอเสี่ยวหงเลยผสมให้มันเข้มขึ้น แล้วก็ยกออกจากห้องครัวไปที่โต๊ะในห้องโถง จากนั้นกลับมาหุงข้าวต่อ

เหอเสี่ยวหงหุงข้าวเกือบ 5 ชั่ง ใช้ข้าวในมิติในการหุง โดยที่หุงข้าวสองเตาเพราะข้าวที่จะหุงมันเยอะหากใช้หม้อเดียวในการหุงข้าวจะล้นหม้อเอาได้ นำขิงไปล้างทำความสะอาดมาหั่นเป็นฝอย 5-6 หัว แช่น้ำสะอาดไว้ก่อนจะไปนำกวางตุ้งดองออกมาหั่นและล้างเตรียมไว้ หั่นสามชั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพราะหากไม่หั่นมันต้องใช้สามชั้นเยอะในการผัด

รอจนข้าวหุงเสร็จยกลงมาเทไว้ในกะละมังขนาดกลางเพื่อจะนำหม้อไปล้าง แล้วนำกลับมาทำกับข้าวต่อ

เตาแรกเหอเสี่ยวหงตั้งหม้อใส่น้ำมันเล็กน้อยก่อนจะโขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยลงไปคั่วให้กลิ่นหอมก่อนจะเทน้ำเปล่าลงไปคนให้ละลาย ปรุงรสให้พอดีก่อนจะนำกระดูกหมูลงไปในหม้อและปิดฝาไว้ รอให้กระดูกหมูสุกก็กินได้แล้ว

ส่วนเตาที่สองเหอเสี่ยวหงจะผัดสามชั้นใส่ขิงและกวางตุ้งดอง นำกระทะมาตั้งเทน้ำมันลงไปเล็กน้อยเพราะสามชั้นมีน้ำมันอยู่แล้ว นำกระเทียมที่โขลกผสมขิงที่นำมาแทนพริกลงไปผัดจากนั่นใส่สามชั้นแห้งที่ถูกหั่นลงไปผัดให้สุก ใส่ขิงที่หั่นฝอยและกวางตุ้งดองที่ถูกล้างน้ำแล้วลงไปผัด ปรุงให้เรียบร้อยก่อนจะนำไปเทใส่ถ้วยให้เรียบร้อย

นำขิงดอง ผักกาดดอง กวางตุ้งดองกับหัวไชเท้า แครอทดองหั่นฝอยใส่กระปุกเล็กก่อนจะนำไปวางไว้บนโต๊ะ เอาไว้กินกับ ยกชามข้าวและยกถ้วยที่จะใส่ข้าวไปไว้บนโต๊ะที่มีชายฉกรรจ์หลายคนนั่งอยู่ ก่อนเหอเสี่ยวหงจะพูดขึ้น

“รอกับข้าวเสร็จก่อนนะคะ” เหอเสี่ยวหงว่า

“พวกเรากินกับผักดอวก็ได้” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น

ข้าวขาวเป็นสิ่งที่แพง น้องสะใภ้ของสหายพวกเขาได้หุงให้หลายชั่งต้องใช้เงินมากแน่ ๆ

“โอ้ ไม่ได้ ๆ” เหอเสี่ยวหงปฏิเสธ

“น้องสะใภ้ซื้อผักดองมาแต่ไหนน่ะ” สหายคนสนิทของพี่ชายใหญ่โจวเอ่ยถาม

“ฉันทำเองน่ะค่ะ” เหอเสี่ยวหงตอบ

“โอ้ เธอทำเองหรือ!” ชายหนุ่มอุทานเสียงดัง

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ” เหอเสี่ยวหงทำหน้างง

“เธอพอจะแบ่งให้พวกเราได้ไหม?” เขาถามขึ้น

“ฉันใช้เงินซื้อผักมาถึงแม้จะไม่มาก แต่นั่นก็คือเงินที่ฉันเจียดไปซื้อมา” เหอเสี่ยวหงว่า

“อะ แฮ่ม ผมหมายถึงแลกเปลี่ยนกันนะ” ชายคนนั้นกระซิบเสียงเบา แต่ก็ได้ยินหมดทุกคน

“ใช่ ๆ”

“แบ่งฉันด้วย ๆ”

“ผักดองอร่อยมาก”

เหอเสี่ยวหงไม่ตอบ เธอเดินเข้าครัวก่อนจะเปิดฝาหม้อดูว่ามันสุกรึยัง พอเห็นว่าสุกแล้วเธอก็เทใส่ชามใหญ่เพื่อนำมันไปให้พวกเขากิน นำสามชั้นผัดใส่จานออกไปด้วย

“โอ้ ขอบคุณครับ” เขาขอบคุณเธอ

“หอมมาก”

“อร่อย!”

“น้องสะใภ้ทำกับข้าวอร่อย”

“ไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้

ชายหนุ่มที่เป็นสหายของพี่ชายใหญ่โจวเอ่ยชมฝีมือการทำกับข้าวของหล่อน จนหล่อนต้องเดินกลับเข้าไปในห้องเพราะเขิน

หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จเหอเสี่ยวหงก็ตักน้ำเย็นมาให้ดื่มเพราะน้ำอุ่นหมดแล้ว จากนั้นจึงเก็บถ้วยจานไปล้าง ส่วนสหายพี่ชายโจวก็เห็นเข้าไปคุยกับพี่ชายโจวแต่เหอเสี่ยวหงไม่รู้ว่าคุยอะไรกันเพราะเธอล้างถ้วยจานอยู่ข้าง ๆ บ่อ

เพราะมันมีบ่อน้ำเดียวเหอเสี่ยวหงจึงบอกให้ทุกคนตักน้ำใส่กะละมังเวลาจะอาบน้ำหรือล้างถ้วยจาน และยังให้ตักออกมาห่างปากบ่อ 2-3 เมตร เวลาที่จะทำกับข้าวหรือจะดื่มก็ให้ไปตักดื่มเลย แต่เหอเสี่ยวหงจะตักน้ำไปต้มฆ่าเชื้อก่อนจะเก็บในกระติกน้ำร้อน

“น้องสะใภ้โจว” สหายคนสนิทของพี่ชายใหญ่โจวเรียกเธอ

“คะ?” เหอเสี่ยวหงคว่ำจานใบสุดท้ายลงบนที่คว่ำจาน จากนั้นก็หันไปล้างมือระหว่างรอเขาพูด

“เรื่องผักดอง...” เขาเกริ่น

“ฉันมีไม่เยอะค่ะ” เหอเสี่ยวหงเอ่ยตัดบท

“เธอสามารถแบ่งให้เราอย่างละชั่งได้ไหม ผมให้ชั่งละ 6 หยวน” เขากัดฟันเสนอราคาไป

ช่วงนี้ผักไม่สามารถปลูกได้แล้ว ผักสดจึงมีราคาแพงขึ้น ผักดองก็เช่นกัน ชั่งละหลายเหมากันเลยทีเดียว แต่นั่นไม่อร่อยเหมือนเหอเสี่ยวหงทำพวกเขาจึงต้องการมันกลับไปด้วย และแน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้คูปอง พวกเขาจึงเสนอราคามาให้เธอตัดสินใจในการเลือก

“ตกลงค่ะ” เหอะสี่ยวหงตอบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel