บทที่14 เตรียมของ
เหอเสี่ยวหงปั่นจักรยานถึงบ้านก็เปิดประตูรั้วบ้านเมื่อปั่นมาจอดลานหน้าบ้านแล้วก็กลับไปปิดประตูไว้เพราะหากคนมาจะได้ไม่เดินเข้ามาได้
เพราะสะใภ้ใหญ่ต้องดูแลลูกสาวของน้องสาวสามีวันนี้เหอเสี่ยวหงจึงไม่ได้เรียกมาช่วยยกของเข้าบ้าน
ส่วนเด็ก ๆ ก็คงอ่านหนังสือทบทวนกันอยู่ โดยเฉพาะกับโจวลิ่วนีที่เธอยังไม่อยากให้เรียน แต่เธอก็ไม่สามารถห้ามได้จึงปล่อยให้เรียนรู้ไป
เหอเสี่ยวหงนำกระปุกไปเก็บในห้องเย็บผ้าเพราะห้องของเธอไม่สามารถเก็บได้แล้ว นำผักกาดและผักกวางตุ้งใส่กะละมังไว้ วันนี้เธอจะดองผัก ส่วนขิง
หัวไชเท้า แตงกวา แครอทเธอจะดองเมื่อดองผักใบเขียวทั้งสองเสร็จ
นำผลไม้ ขนม และนมเข้าไปเก็บในตู้ที่ห้องของเธอ ส่วนของสดนั้นเอาเก็บใส่มิติก่อนเพราะของจะเสียเอาได้
เหอเสี่ยวหงนำผักไปแกะออกแล้วล้างที่ละใบให้สะอาด จากนั้นวางผักใส่กะละมังและนำไปตากแดด รอให้ใบเฉาหลังจากนั้นจะเอามาดอง
กว่าผักจะเฉาเหอเสี่ยวหงจึงไปเติมของว่างให้เด็ก ๆ นำน้ำเย็น ๆ ใส่แก้วและขวดเก็บอุณหภูมิอย่างละหนึ่ง บัวหิมะ 3-4 ลูกปอกเปลือกและหั่นเป็นแว่นใส่จาน เค้กมะพร้าวจิ๋ว 1 ก้อน และคั้นน้ำส้มให้อีกแก้ว
“เอ้อร์นีจ๊ะ เปิดประตูให้แม่หน่อย” เหอเสี่ยวหงร้องบอกผ่านหน้าประตูห้อง
เพราะเธอได้ถือของว่างมาด้วยทำให้ไม่มีมือเปิดประตู จึงต้องร้องเรียกลูกสาวคนโตมาเปิดให้
“แม่ แม่กลับมาตอนไหน” โจวเอ้อร์นีถาม
เพราะปกติเวลาแม่ของเธอกลับมาก็จะตะโกนเรียก เมื่อกี้เธอกับน้อง ๆ กำลังอ่านหนังสือทบทวนกันอยู่ได้ยินเสียงเดินแต่ไม่ได้ออกไปเพราะคิดว่าจะเป็นเสียงของป้าสะใภ้ใหญ่
“แม่กลับมาสักพักแล้วจ้ะ หิวกันไหม” เหอเสี่ยวหงถามพลางเดินเข้าไปวางของว่างลงบนเตียงเตา
วันนี้เพราะรีบเกินไปหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วเหอเสี่ยวหงจึงไม่ได้เตรียมของว่างให้ ปกติเหอเสี่ยวหงจะมีของว่างให้หลังจากกินข้าวเช้ากับข้าวกลางวันเสร็จแล้ว 2-3 ชั่วโมง ตอนเย็นจะมีผลไม้คนละซีกเท่านั้น
“หู้วว เค้ก เค้กกก” โจวอู๋นีอุทานอย่างตื่นเต้น
เค้กมะพร้าวจิ๋วมีจำนวนน้อยมากเหอเสี่ยวหงจึงหลีกเลี่ยงการเอาเค้กมาเป็นของว่าง แต่เพราะครั้งก่อนเด็ก ๆ ชอบมากและช่วงนี้เด็ก ๆ ดูจะชอบการอ่านทบทวนมาก เหอเสี่ยวหงจึงถือว่าเป็นรางวัลให้ลูกสาว
“แม่ หอมหวานมากก” โจวซานนีอุทาน
กลิ่นมะพร้าวที่ถูกทำมาเป็นแยมหรือมะพร้าวบนหน้าเค้กนั้นมีกลิ่นหอมมาก เมื่อตักข้าวปากมะพร้าวสดที่ถูกขูดแล้วมันหวานและหอมมาก
“ใช่” โจวลิ่วนีพยักหน้าเห็นด้วยา
“หวาน หวาน”
เหอเสี่ยวหงหัวเราะ เด็ก ๆ ชอบของหวานมากในหนึ่งวันต้องได้กินวันละ 2-3 อัน แต่เหอเสี่ยวหงให้กินก็จริงแต่ก็ถูกจำกัดปริมาณด้วย
“ไหนวันนี้อ่านได้กี่หน้าแล้ว” เหอเสี่ยวหงถาม
“7” โจวซานนี
“5” โจวเอ้อร์นี
“2” โจวอู๋นี
ส่วนโจวลิ่วนียังไม่ได้เปลี่ยนหนังสือทบทวนเพราะยังไม่ถึงเวลา ส่วนเด็ก ๆ ทั้งสามคนจำได้แทบคล่องแล้วจึงได้หนังสือเขียนมือเล่มใหม่ของเหอเสี่ยวหง
“โอ้ เก่งมากเลยจ้ะ เดี๋ยวแม่จะไปตากหมูก่อน” เหอเสี่ยวหงเอ่ยชมก่อนจะยิ้มและเดินออกจากห้อง
เหอเสี่ยวหงเดินเข้าครัวพร้อมกับกะละมังขนาดกลาง 2 ใบ ใบหนึ่งจะหมักสามชั้น อีกใบจะหมักอกไก่ เหอเสี่ยวหงนำสามชั้นกับอกไก่ไปล้างน้ำก่อนจะแล่ออกเป็นชิ้น ๆ นำไปหมักโดยที่หมูจะหมักออกรสหวาน อกไก่จะหมักรสเค็ม หาอะไรมาปิดกะละมังไว้ อีก 1 ชั่วโมงจะได้นำไปตาก
สามชั้นเป็นสูตรเฉพาะของเหอเสี่ยวหงเองเลยที่หมักให้มีรสหวานและอกไก่ที่หมักให้มีรสเค็ม
เมื่อไม่มีอะไรทำเหอเสี่ยวหงจึงจุดเตาไฟเตาแรกแล้วนำหม้อที่มีน้ำอยู่ครึ่งหม้อมาตั้งไฟ เทเกลือลงไปเล็กน้อยก่อนจะตามด้วยไข่ไก่ 15 ฟอง
จากนั้นก็รอให้ไข่สุก นำไข่ไปแช่ในน้ำเย็นและปอกไข่ออกพักไว้ในชาม
ส่วนอีกเตาเหอเสี่ยวหงจะเคี่ยวน้ำต้มพะโล้ เหอเสี่ยวหงนำกระเทียม รากผักชี พริกไทยโขลกลงในครกจนละเอียด จากนั้นนำลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเล็กน้อยผัดจนได้กลิ่นหอม
เพิ่มน้ำตาลทรายแดง เคี่ยวจนมีสีเข้มใส่หมูสามชั้น 4 ชั่งลงไป ผัดให้พอสุกแล้วนำไข่ที่ปอกไว้ลงไปด้วย
นำน้ำเปล่ามาใส่หม้อเกือบเต็ม ปรุงรสด้วยซอสฝาเขียว ผงปรุงรส ผงนัวร์ และเกลือเล็กน้อยก่อนจะปิดฝา และค่อยเปิดหม้อออกดูทุก ๆ 15 นาที เพื่อตักฟองออก
รอจนครบหนึ่งชั่วโมงเหอเสี่ยวหงเอาสามชั้นและอกไก่ไปตากแดด และยังได้แวะดูผักที่ตากแดดไว้ก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่ามันพอดีแล้วจึงยกเข้าครัว
จากนั้นจึงเริ่มทำผักดอง ผักดองเป็นสิ่งที่เหอเสี่ยวหงถนัดมากเพราะในยุคอนาคตเหอเสี่ยวหงมีไร่จำนวนมากทำให้เกิดการแปลรูปต่าง ๆ ทุกวัน
ผักกาดและผักกว้างตุ้งถูกบรรจุใส่กระปุกใหญ่ เมื่อดองผักเสร็จเหอเสี่ยวหงก็เอาไว้ในตู้กับข้าวของที่ห้องของเธอ
แล้วก็นำแครอท หัวไชเท้า แตงกวา ขิง ไปหั่นทำความสะอาดให้เรียบร้อยเพราะเธอจะดองต่อเลย
กว่าจะปอกเปลือกแครอท หัวไชเท้า ขิงเสร็จก็ใช้เวลานานพอสมควร ส่วนแตงกวาไม่ได้ปอกเปลือก
“สะใภ้รอง”
“พี่สะใภ้ใหญ่”
“เธอทำอะไรน่ะ ให้ฉันช่วยไหม” สะใภ้ใหญ่ถาม
“ว่างแล้วหรอ” เหอเสี่ยวหงถามกลับ
“ใช่ เสี่ยวจวี่ เสี่ยวยวี่ มู่นีหลับกันแล้ว ส่วนต้านีกับซือนีหล่อนไปอ่านหนังสือกับเด็ก ๆ” สะใภ้ใหญ่ตอบ
“พอดีเลยค่ะ ฉันจะดองแตงกวา ขิง แครอท หัวไชเท้า” เหอเสี่ยวหงบอก
“โอ้ เยอะขนาดนี้” สะใภ้ใหญ่อุทาน
“ฉันจะเก็บไว้กินฤดูหนาวน่ะค่ะ”
“ฉันปอกเปลือกและทำความสะอาดเสร็จหมดแล้วพี่หั่นขิงให้ฉันหน่อยค่ะ” ไม่ว่าเปล่าเหอเสี่ยวหงยกกะละมังขิงให้สะใภ้ใหญ่ด้วย
“หั่นเป็นแว่นบาง ๆ นะคะ แบบนี้” เหอเสี่ยวหงทำให้ดู
“บางขนาดนี้” สะใภ้ใหญ่ถาม
เพราะขิงปกติที่นี่ไม่มีใครดอง ส่วนมากจะไว้ต้มในฤดูหนาว หรือไม่เวลาเอามาทำอาหารมันจะชิ้นใหญ่ แต่ของเหอเสี่ยวหงมันชิ้นเล็กและบางมาก
“ใช่ค่ะ” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
หันไปดูหม้อที่ตุ๋นไข่พะโล้ไว้เมื่อมันมีฟองก็ตักออก ตอนนี้น้ำลดลงนิดหน่อยแล้วปิดฝาไว้เหมือนเดิม
ก่อนที่จะหันมาขูดแครอทกับหัวไชเท้าให้เป็นฝอยเพราะมันจะถูกดองใส่ด้วยกัน
“พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปดูป่าเผื่อจะได้หน่อไม้มาอีก” เหอเสี่ยวหงว่า
“มันจะมีข้าวโพดอีกไหม” สะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างตื่นเต้น
หน่อไม้รอบที่แล้วที่ได้มาเหอเสี่ยวหงแกงใส่กับผักป่า เพราะมันไม่มีใบย่านางเธอจึงบดข้าวโพดดิบใส่แทน ซึ่งมันหอมมาก เหอเสี่ยวหงได้แบ่งให้ทั้งสองบ้านด้วย
“แต่พรุ่งนี้แจกจ่ายส่วนผลิตนี่” สะใภ้ใหญ่ว่าต่อ
“ยังไงซะเราก็ได้ทีหลัง เพราะคนที่ได้ก่อนคือคนที่อาหารหมด” เหอเสี่ยวหงยักไหล่
บ้านไหนขาดแคลนหรือเดือดร้อนก็จะได้ส่วนผลิตก่อนและขาดแคลนรองลงมา หน่วยผลิตคอมมูมีหลายร้อยหลังคาเรือน บ้านเหอตอนนี้จัดอยู่กลาง ๆ
เพราะเพิ่งได้เงินจากการแยกบ้านและที่บ้านมีแต่ผู้หญิง ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วส่วนผลิตอีกส่วนจะถูกแจกจ่ายก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน
“จริงด้วย” สะใภ้ใหญ่ยิ้ม
“ได้ธัญพืชมาเพิ่มแล้วพี่ก็หุงข้าวขาวให้เด็ก ๆ กินเถอะค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอก
ตอนที่มีน้องสาวสามีอยู่ด้วยที่เหอเสี่ยวหงไม่บอกก็เพราะแยกบ้านกันแล้ว หากเธอบอกแล้วน้องสามีอาจไม่พอใจขึ้นมาจะว่าเธอก้าวก่ายได้ แต่ตอนนี้มีแค่บ้านใหญ่และบ้านรองของพวกเธออยู่ และสะใภ้ใหญ่ก็เชื่อน้องสาวอย่างเธอมาก
“จะดีหรอจ๊ะ ไม่รู้ว่าพี่เขยของเธอจะกลับมาตอนไหน พี่กลัวเงินจะไม่พอน่ะ” สะใภ้ใหญ่ลังเล
“พี่ดูลูกสาวฉันสิ มีเนื้อมีหนังกันมากเพราะฉันให้กินข้าวขาว” เหอเสี่ยวหงว่า
“แล้วมันแพงไหมจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่ถาม
“ชั่งละ 3 เหมา 5 เฟิน” เหอเสี่ยวหงบอก
“แพงขนาดนั้น!” สะใภ้ใหญ่อุทาน
“พี่ดูลูกฉันสิ ลูกฉันต้องเรียนฉันจึงบำรุงพวกแกเยอะ วันหลังก็ให้ต้านีกับซือนีมาเรียนกับลูกสาวฉันก็ได้” เหอเสี่ยวหงบอก
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ก็หั่นผักไปด้วย ตอนนี้แครอทเสร็จแล้วเหลือหัวไชเท้าที่เหอเสี่ยวหงเพิ่งทำได้สองหัว
“ได้” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า
ถึงหล่อนจะได้เรียนแต่นั่นก็นานแล้วหล่อนจึงลืมตัวอักษรไปบ้าง ผิดกับเหอเสี่ยวหงที่เก่งที่สุดในโรงเรียนที่มีความจำดีสามารถสอนลูกได้
“หั่นแล้วเอาแช่น้ำในกะละมังตรงนั้นเลย” เหอเสี่ยวหงบอก
สะใภ้ใหญ่ไม่ได้สังเกตกะละมังที่เพิ่มขึ้นเพราะเหอเสี่ยวหงได้นำออกมาเพิ่ม นั่นมันเป็นเรื่องดี
“แล้วเธอไม่เก็บไว้กินฤดูหนาวหรอ” สะใภ้ใหญ่ถาม
และมันก็ทำให้เหอเสี่ยวหงหยุดชะงัก เธอลืมจริง ๆ ว่าขิงนั่นเอาไว้ต้มดื่มเพื่อคลายหนาว
“โอ้ เดี๋ยวฉันจะไปเอาเพิ่ม” เหอเสี่ยวหงอุทานแล้วเดินออกไปเอาขิงจากห้อง
รอบนี้เธอเอามา 10 ชั่งเลยทีเดียว เพราะเธอจะหั่นบางแบบที่ดองจากนั้นจะนำไปตาก พอแห้งก็จะเอาไปคั่วในกระทะแล้วบดให้ละเอียด ฤดูหนาวจะผสมกับน้ำดื่มจะได้ไม่ต้องต้ม
เหอเสี่ยวหงนำขิงไปล้างปอกเปลือกข้างนอกบ้านข้างบ่อ กว่าจะปอกเปลือกเสร็จและยกเข้ามาในครัวสะใภ้ใหญ่ก็หั่นขิงที่จะดองเสร็จแล้ว
“ขิงพวกนี้พี่หั่นแบบพวกนี้เลยค่ะ” เหอเสี่ยวหงชี้บอก
“ได้”
เหอเสี่ยวหงเปิดฝาหม้อดูพะโล้อีกครั้ง ตักฟองออกแลวปิดฝาเหมือนเดิม หันกลับมาหั่นฝอยหัวไชเท้าเหมือนเดิม
เมื่อหั่นเสร็จทุกอย่างก็เข้าสู่การดอง เพราะดองแครอท หัวไชเท้าฝอยด้วยกันเหอเสี่ยวหงจึงใส่กระปุกใหญ่ ส่วนแตงกวากระปุกกลาง และขิงกระปุกเล็ก
ล้างทำความสะอาดเครื่องมือทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยคว่ำไว้ข้างบ่อ เก็บพวกที่เคยล้างคว่ำไว้ที่แห้งแล้วเข้ามาเก็บในครัว
ส่วนขิงที่จะตากก็เก็บไว้ก่อนเพราะได้ตากสามชั้นกับอกไก่ไปแล้ว เมื่อพะโล้ได้ที่แล้ว เหอเสี่ยวหงก็หุงข้าว 2 ชั่ง เพราะเธอจะให้ทุกคนกินด้วยกัน
พอกินข้าวเสร็จพากันไปอาบน้ำ เก็บเนื้อที่ตากไว้เข้าห้องแล้วเก็บใส่มิติ ส่วนผักที่ดองไว้พรุ่งนี้ค่อยเอาเข้ามิติ จากนั้นปิดประตู ปิดหน้าต่าง ดับเทียนและเข้านอน
