บทที่12 บ้านโจว
ชาวบ้านหลายคนกำลังเกี่ยวข้าวธัญพืชที่เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเสร็จอยู่เกือบห้าสิบคน ข้างหลังคนเก็บเกี่ยวข้าว จะมีคนเกี่ยวกอข้าวและบางคนกำลังเก็บเอารวงข้าวไปตากบนลานข้างบน บางส่วนก็นำไปตากที่หน่วยผลิต
ข้าง ๆ แปลงนาจะมีพวกธัญพืชอยู่อีกหลายแปลง อย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองหรือถั่วดำก็มีชาวบ้านเกือบยี่สิบคนกำลังเก็บเกี่ยว
หมู่บ้านโจวเป็นหมู่บ้านกลาง ๆ ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป มีบ้านมากกว่า 100 หลัง มีคนอาศัยอยู่เกือบพันคน แต่เป็นหน่วยผลิตอันดับหลัง ๆ ของกลุ่มคอมมู เพราะว่าได้ผลผลิตน้อยมากในแต่ละการเก็บเกี่ยว นอกจากจะต้องแบ่งผลผลิตให้กับคนในหน่วยแล้ว
ยังต้องแบ่งให้กองกลางอีกมากกว่าครึ่ง! ทำให้ผลผลิตที่น้อยอยู่แล้วน้อยขึ้นไปอีก
พอถึงเวลาแบ่งธัญพืชนอกจากจะไม่เพียงพอต่อแต่ละบ้านแล้วยังไม่เหลือให้ซื้ออีก แต่ปีนี้ต่างออกไป เห็นว่าผลผลิตของปีนี้ได้มากกว่าปีที่แล้วหลายสิบเท่า
‘โอ้! จักรยาน! สะใภ้รองบ้านโจวมีจักรยาน!’
‘โอ๊ย จับทีฉันจะเป็นลม!’
‘หล่อนได้จักรยานมาจากใคร’
‘ใช่ ๆ’
‘สามีของนางไม่อยู่ นางซื้อจักรยานได้อย่างไร!’
‘โอ้ สิ้นเปลืองจริง ๆ’
ชาวบ้านหลายคนที่กำลังทำงานอยู่บางคนถึงกลับวางเครื่องมือลงพื้น เพราะตกใจที่สะใภ้รองบ้านโจวมีจักรยานคันใหม่
จักรยานนั้นภายในหมู่บ้านมีแค่หัวหน้าหน่วย และเลขาธิการหม่า แต่เมื่อไม่นานนี้เพิ่งจะมีของโจวมี่ แต่วันนี้สะใภ้รองบ้านโจวปั่นจักรยานคันใหม่กลับมาที่หมู่บ้าน!
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นสะใภ้รองบ้านโจวแน่ ๆ ที่ซื้อมา ไม่เช่นนั้นหล่อนจะได้ปั่นหรือ?
บ้านหลักโจวคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นี่ด้วย ทั้งพี่ชาย น้องชายของพ่อโจว รวมถึงพี่สาวและน้องสาวทุกคนที่แต่งออกไปแต่อยู่ในหมู่บ้านก็อยู่ด้วย ก็จะไม่มีแค่พ่อเฒ่าโจว แม่เฒ่าโจวที่แก่ชราและบ้านใหญ่เป็นคนดูแลเท่านั้นที่ไม่ได้ลงแปลงนา ตอนนี้บ้านโจวและเหล่าเขยสะใภ้กำลังขุดถั่วลิสงอยู่
‘โอ้ หลานสะใภ้คนนี้ช่างสิ้นเปลืองนัก'
‘สงสารก็แต่หลานชาย ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้าง’
‘นั่นน่ะสิ! ไม่มีใครติดต่อได้เลย’
‘หลานสาวของเราจะเป็นอยู่อย่างไรในบ้านที่มีแต่ผู้หญิง’
‘โจวมี่แต่งออกไปแล้ว ถูกหย่าทำไมพวกเราถึงไม่รู้!’
‘ใช่!’
‘บ้านหลี่หยามหน้ากันชัด ๆ’
‘ตอนจะแต่งแทบจะกราบเท้าอาเหวินหลงชาวบ้านรู้เกือบทั้งเมือง ตอนนี้จะหย่ากลับไม่ถามบ้านโจว!’
‘สงสับจะไม่เห็นบ้านโจวในสายตา!’
‘พวกเราต้องไปเยี่ยมพวกนางบ้างแล้ว’
‘แต่คุณแม่ไม่ให้ไป'
‘เหอะ! คงจะเป็นพี่สะใภ้รองน่ะสิที่ห้าม’
‘ใช่’
‘โอ้! หลานสาวแท้ ๆ ในสกุลอีกหลายคน คุณแม่กลับมองเห็นเพียงหลานสาวนอกสกุลคนนั่น!’
‘อ้าาาา! ว่าแต่ว่าหลานชายคนนั้นเรียนจบหรือยัง’
‘ยังไม่จบ!’
‘เหอะ! ก็คงเหมือนแม่’
เสียงสนทนาของบ้านโจวที่กำลังขุดถั่วลิสงอยู่คุยกันเสียงเบา หัวข้อสนทนาของทุกคนคือหลาน ๆ ต้องบอกก่อนว่าบ้านโจวนั้นรักในชื่อเสียงมากและเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุด ในหมู่บ้านโจว
คนที่ใช้สกุลโจวก็มีมากกว่าครึ่ง พี่ชายรองโจวตอนที่ก่อนพี่สะใภ้รองจะเสียก็ดีกับพวกเขามาก ดูแลถามทุกอย่าง พอพี่สะใภ้เสียและหลานสาวของคุณแม่แต่งเข้ามาก็เปลี่ยนไป ชอบมีปากมีเสียงกับทุกคน เห็นแก่ได้ แต่อย่างน้อยก็ดูแลลูกกับหลานดี
แต่ก่อนในตอนที่สองสะใภ้บ้านรองได้ลงแปลงนา ก็ได้มาทำกับคนในสกุลโจวเหมือนกันและหลาย ๆ คนจะคอยช่วยเหลือในการทำงาน แต่ไม่ก้าวก่ายเกินไปเพราะทุกบ้านก็แยกบ้านกันแล้ว และยังมีนางหลี่ซือที่พร้อมจะฟ้องแม่เฒ่าโจวทุกเรื่องอีก
หลายคนในบ้านโจวชอบสองสะใส้บ้านรองโจวมาก ส่วนสะใภ้สามนั้นแทบจะติดลบเลยก็ว่าได้ เพราะสะใภ้สามของบ้านรองโจวอยู่ในอำเภอ และเคยมาที่หมู่บ้านนี่ไม่กี่ครั้งเพราะหล่อนรังเกียจคนในชนบท
แม้สองสะใภ้จะมีแค่หลานสาวให้แต่ก็นับว่ามากพอแล้ว เพราะบ้านโจวนั่นมีหลานชายเยอะแยะ แต่แม่เฒ่าโจวไม่พอใจ แม่เฒ่าโจวนั้นรักครอบครัวสามของบ้านรองโจวเพราะเป็นลูกของหลานสาวนาง
ธัญพืชบางส่วนของโจวกว่างก็เป็นนางที่ลอบแบ่งธัญพืชให้นางหลี่ซือ หลายคนรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะพี่ชายใหญ่โจวที่ต้องดูแลพ่อแม่
โจวมี่นั้นนางติดนางหลี่ซือตั้งแต่เด็กเพราะตอนนั้นไม่มีใครบอกว่านางหลี่ซือไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของโจวมี่กับหล่อน เมื่อตัวขึ้นโจวมี่ก็รู้ด้วยตัวของตัวเองและห่างเหินกับญาติหลายคนเพราะนางหลี่ซือจงใจ ส่วนโจวกว่างนั้นหลายคนเจอแทบจะตลอดเวลา และหากโจวกว่างไม่เหมือนนางหลี่ซือหลายคนคงไม่ว่าอะไร
แต่นี่เหมือนนางหลี่ซืออย่างกับแกะ! ทั้งยังขี้ฟ้องแม่เฒ่าโจวเหมือนกันอีกด้วย
“ลิ่วนีจ๊ะ!”
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วเหอเสี่ยวหงก็เข็นจักรยานมาจอดลานหน้าบ้านเพราะเดี๋ยวตอนกลางคืนจะจูงไปเก็บไว้ในห้องเก็บฟืน เพราะห้องเก็บฟืนจะล็อกกุญแจอยู่เสมอหากให้เก็บไว้ในบ้านคงไม่เหมาะเท่าไร
เมื่อจอดจักรยานเสร็จก็ตะโกนหาลูกสาวคนเล็กแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ แต่ได้ยินเสียงสะใภ้ใหญ่แทน
“กลับมาแล้วหรอจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่ถาม
“ค่ะ เด็ก ๆ ล่ะคะ” เหอเสี่ยวหงตอบ
“หลับน่ะ” สะใภ้ใหญ่บอก
“ให้ช่วยยกของไหม?”
เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
จากนั้นทั้งสามก็ช่วยกันยกของในเกวียนวัวไปไว้ห้องโถงของบ้าน เพราะเดี๋ยวค่อยแยกของของกันและกัน
ระหว่างที่กำลังทยอยขนของเข้าไปในห้องโถง สะใภ้ใหญ่ก็พูดขึ้นมา
“สะใภ้รอง ฉันให้ต้านีไปเอามูลสัตว์มาแล้วนะ”
“ค่ะ ให้ทำตามที่ฉันบอก จากนั้นก็ให้ใส่มูลสัตว์อาทิตย์ครั้งก็พอ”
เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
“ผ้านวมฉันได้มาแค่นี้ค่ะ” เหอเสี่ยงหงชี้ให้ดู
“แล้วอันนี้คืออะไรจ๊ะ”
อะไรที่ว่าก็คือหมอนที่เหอเสี่ยวหงเอาออกมาใช้
“หมอนน่ะค่ะ แต่ถ้าจะเอาฉันคงหามาให้ไม่ได้แล้วในตอนนี้” เหอเสี่ยวหงตอบก่อนที่จะปฏิเสธ
“นี้คือผ้านวมที่สหายฉันให้มาค่ะ โชคดีจริง ๆ ที่เขาเอามาด้วยในวันนี้” เหอเสี่ยวหงยื่นผ้านวมให้ก่อนจะพูดต่อ
“2 ผืน 25 หยวนค่ะ”
“นี่จ้ะของพี่” สะใภ้ใหญ่ยื่นเงินมาให้
“นี่ของฉันค่ะ” โจวมี่ยื่นเงินมาให้อีกคน
“อ๋อหากคนอื่นๆ ๆ ถามว่าได้ของมาแต่ไหนให้บอกว่าสามีฉันส่งมาให้” เหอเสี่ยวหงว่า
“ทำไมเหรอ?” สะใภ้ใหญ่สงสัย
ของที่เหอเสี่ยวหงได้มันมาก็เพราะสหายหาให้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องบอกว่าน้องชายรองเป็นคนส่งมาให้ สะใภ้ใหญ่คิด
“ถ้าคนอื่นรู้ว่าฉันเป็นคนหามาก็จะมีคนมาให้ฉันหาให้น่ะสิ ถ้าเกิดฉันไม่หาให้เดี๋ยวก็มีเรื่องตามมาอีก” เหอเสี่ยวหงบ่น
เธอเป็นคนบ้านเหอที่ไม่ญาติหรือไม่อยู่ที่นี่เพราะไม่รู้ว่าอาสามกับอาสี่อยู่ที่ไหน แต่งเข้าบ้านโจวที่สามีก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปไหน บ้านใหญ่โจวหรือสายอื่น ๆ ก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเรื่องจะมีคนมาช่วยหรือเปล่า
หากเธอหาให้คนหนึ่ง คนต่อมาก็จะมีอีก แน่นอนว่าหมู่บ้านโจวมีหลายบ้าน ซึ่งผ้าห่มของเธอมีไม่พอ! หากไม่หาให้แล้วเกิดขู่เธอ ทำอะไรพวกเธอ พวกเธอจะทำอะไรได้? บ้านเธอตอนนี้มีแค่ผู้หญิง จะทำอะไรก็ต้องไว้หน้าคนอื่นก่อนเสมอ
“ได้” สะใภ้ใหญ่พยักหน้ารับ
ต่อให้งงกับสิ่งที่น้องสะใภ้บอก สะใภ้ใหญ่ก็ยังตอบตกลงอยู่ดี
“เด็ก ๆ นอนนานหรือยังคะ” เหอเสี่ยวหงถาม
“2-3 ชั่วโมงแล้ว” สะใภ้ใหญ่พยักหน้าบอก
“อ๋อ งั้นฉันไปหาเด็ก ๆ แล้ว” เหอเสี่ยวหงว่า
ก่อนจะยกของเข้าไปในห้องเหอเสี่ยวหงก็จ่ายเงินที่เหลือให้กับคนบังคับเกวียนวัวและทำทีว่านำของไปเก็บใส่ตู้แต่จริงๆ ๆ แล้วเหอเสี่ยวหงเอาใส่มิติไว้ ยกเว้นพวกนมผงและแบ่งผลไม้ไว้อย่างละไม่มาก ส่วนพวกเนื้อหมูพรุ่งนี้เธอแล่ตากแดดไว้กินในฤดูหนาวที่จะมาถึง ส่วนผักก็จะดองเอาไว้หลังจากที่โจวมี่กลับไปทำงานเพราะเธอไม่ไว้ใจโจวมี่ ส่วนสะใภ้ใหญ่ที่โตมากับเธอถ้าจะรู้ก็ไม่เป็นอะไร
เหอเสี่ยวหงเข้าไปในห้องของลูกสาวที่ที่เด็ก ๆ สี่คนนอนกอดกันอยู่ ประตูหน้าต่างเปิดออกกว้าง ๆ ให้ลมเข้า มีผ้านวมตากไว้ให้กลิ่นอับชื้นหาย เหอเสี่ยงหงจึงเดินเข้าไปปลูกลูก ๆ เพราะตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับกัน
“เอ้อร์นี ซานนี อู๋นี ลิ่วนีจ๊ะ ตื่นกันได้แล้ว” เหอเสี่ยวหงพูดไม่เบาและไม่ดังเกินไป
“เอ้อร์นีจ๊ะตื่นได้แล้ว”
คนที่ตื่นไวที่สุดคือเอ้อร์นี เหอเสี่ยวหงจึงปลุกหล่อนก่อน อู๋นีก็ปลุกง่าย ส่วนอีกสองคนนั้นต้องใช้เวลาไม่มากก็น้อย
“หาววว ขาาาคุณแม่” โจวเอ้อร์นีบิดขี้เกียจก่อนจะตอบรับ
“ปลุกน้องได้แล้วจ้ะ ตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ” เหอเสี่ยวหงบอก
“ได้ค่าาา หาววว” โจวเอ้อร์นีหาว
“ปลุกน้องไปล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วอ่านสมุดทบทวน แม่จะไปทำกับข้าว” เหอเสี่ยวหงว่าก่อนจะเดินออกจากห้องลูกสาวแล้วเข้าไปเอาของในห้องตัวเองก่อนจะเข้าครัว
สมุดทบทวนมี 4 เล่ม หรือมันก็คือสมุดคัดอักษรภาษาจีนอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ที่มีภาษาจีนกำกับไว้
ที่เหอเสี่ยวหงคัดไว้ให้ลูกสาวอ่าน ที่แต่ละคนจะอ่าน 2-3 ชั่วโมงต่อวัน
หลายวันมานี้เหอเสี่ยวหงบำรุงลูกสาวแต่ละคนจนเริ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ยังไม่ถึงกับมีเนื้อมีหนังแต่ก็ไม่ได้ผอมแห้งแบบแต่ก่อนแล้ว เพราะยังบำรุงได้ไม่นานผลลัพธ์จึงยังไม่เห็นผลมาก
เด็ก ๆ จะได้ดื่มนมผงที่ถูกผสมกับน้ำจนได้น้ำนมที่หอมหวานอร่อยคนละ 2-3 แก้วต่อวัน ผลไม้มีตอนเช้า ตอนกลางวันและตอนเย็น ยังมีมื้อว่างอีกที่เหอเสี่ยวหงปอกให้ลูกสาวเวลาอ่านหนังสือ ส่วนขนมหวานนั้นได้กินวันละครั้ง
ช่วงบ่ายแดดยังจ้าอยู่จากตอนแรกจะทำแกงจืด เหอเสี่ยวหงก็เปลี่ยนใจ เด็ก ๆ ก็คงจะกินซาลาเปาที่เธอเตรียมไว้ให้แล้ว จึงคิดที่จะตากเนื้อหมูส่วนหนึ่ง อีกส่วนจะทำพรุ่งนี้ เหอเสี่ยวหงนำกระเทียม พริกไทย รากผักชีมาโขลกรวมกันให้ละเอียด ตัสมุนไพรที่โขลกรวมกันใส่ชาม เติมผงปรุงรส ผงนัวร์ เกลือ ซอสปรุงรสฝาเขียว
น้ำตาลเล็กน้อย คนให้ละลายเข้ากันแล้วแล่เนื้อหมูขนาดพอดี นำมาคลุกกับส่วนผสมที่ผสมไว้แล้วปิดฝาทิ้งไว้ อีก 1 ชั่วโมงเธอจะนำไปตาก
เหอเสี่ยวหงน้ำบราวนี่กรอบออกมารสชาติละ 2 ห่อ เทใส่ชามรวมกัน หยิบน้ำแข็งในมิติใส่แก้วเก็บอุณหภูมิพร้อมกับเทนมสดที่ถูกเธอต้มไว้เมื่อวันก่อนใส่แก้ว เพราะนมสดที่เธอมีมันเป็นนมสดที่ยังไม่ได้ต้ม จากนั้นจึงนำไปให้เด็ก ๆ พร้อมกับองุ่นสองพวงและพุทราอีกเล็กน้อย
ระหว่างรอหมูหมักเหอเสี่ยวหงจึงไปเอาไหมพรมมาถักรอ หมวกของลูกสาวเธอได้ถักครบหมดแล้ว ยังมีของเธอและสามีอีกด้วย ตอนนี้เธอได้ถักถุงมือและถุงเท้าให้อู๋นีอยู่มันใกล้จะเสร็จแล้ว ต่อไปเธอจะถักให้ซานนี
เหอเสี่ยวหงเลือกที่จะไม่เอาไหมพรมไปถักในห้องของเด็ก ๆ เพราะมันจะรบกวนลูก ๆ และเธอก็กลัวจะถักไหมพรมไม่ได้
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหอเสี่ยวหงก็เก็บไหมพรมไว้ที่เตียงเตาก่อนจะออกไปตากเนื้อหมู หมูทั้งหมดที่ตากมี 4 ชั่ง และมันยังไม่พอสำหรับพวกเธอ
