ไข่พะโล้คืออะไร? - 2
"ขนมพวกนี้ย่าซื้อมาฝากอาจื้อกับอาหยวน แบ่งกันกินนะลูก พวกเจ้าก็มาหยิบคนละ 3 ชิ้นไปชิมดู"
หลี่เหมยแกะกล่องขนมวางไว้ตรงหน้าแล้วให้ลูกหลานหยิบกินได้ทันที
"อาจื้อรักท่านย่าที่สุด!" ซางจื้อตะโกนอย่างดีใจ
"อาหยวนรักด้วย!"
ซางหยวนพยักหน้าตามด้วยรอยยิ้ม เด็กน้อยทั้งสองโผเข้ากอดหลี่เหมยด้วยความรัก ตัวนางเองก็กอดเด็ก ๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจพลางคิดว่า
ชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีคนรัก แต่อยู่ ๆ ก็มีหลานชายตัวน้อยเสียแล้ว หากถึงวันที่ข้าต้องกลับไปยังโลกที่จากมา แล้วข้าจะทำใจจากพวกเจ้าไปได้หรือไม่
"ย่าก็รักพวกเจ้า ซาลาเปาก็กินแทนข้าวกลางวันเลยแล้วกัน กับข้าวที่แม่ทำค่อยกินตอนค่ำ"
"ขอรับท่านแม่!"
"เจ้าค่ะท่านแม่! ลูกจะเริ่มหั่นเนื้อหมูตามที่ท่านแม่บอก" หลี่หลินตอบรับมารดาอย่างกระตือรือร้น
"ช่วงบ่ายนี้ลูกกับพี่ใหญ่พี่รองจะขึ้นไปสับหน่อไผ่กับลูกหนามมาเก็บไว้อีกนะขอรับท่านแม่" หลี่ซุนกล่าว
"ได้ กินให้อิ่มค่อยไป ระวังงูด้วยล่ะ ถ้าอยากจับก็ให้ทำตามที่แม่สอน"
"ขอรับท่านแม่! ลูกต้องหัดจับงูให้เป็น ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่างูพิษเหล่านั้นจะขายได้ราคาสูงขนาดนั้น"
พอหลี่ซานได้ยินคำพูดของน้องชายก็รีบเอ่ยถาม
"งูเหล่านั้นขายได้จริง ๆ หรือน้องสาม"
"ได้จริงสิพี่ใหญ่ ราคาขึ้นอยู่กับว่าเป็นงูอะไร ขนาดใหญ่แค่ไหน อย่างวันนี้ท่านแม่ขายได้ตั้งยี่สิบกว่าตำลึง"
หลี่หลงตอบพี่ชายด้วยความภูมิใจ
"ยี่สิบกว่าตำลึง? มันมีค่าขนาดนั้นจริง ๆ หรือ" หลี่ซานอุทานด้วยความตกใจ
"จริงสิพี่ใหญ่ ไม่อย่างนั้นท่านแม่จะเอาเงินที่ไหนซื้อของพวกนี้กลับมา" หลี่หลงย้ำอีกครั้ง
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปจับงูกันเถอะ!" หลี่ซานพูดอย่างฮึกเหิม
"หยุดก่อน! งูพิษเหล่านั้นขายได้ราคาแพง แต่ก็ต้องเสี่ยงชีวิตกว่าจะได้มา พวกเจ้าอย่าได้ประมาทเชียว เตรียมอุปกรณ์แล้วรอแม่ตรงนี้ก่อน" หลี่เหมยสั่งเสียงเข้ม
หลี่เหมยพูดจบก็เดินเข้าห้องนอนไป นางปิดประตูแล้วหยิบขวดกระเบื้องเล็ก ๆ เข้าไปในมิติ ก่อนจะกรอกน้ำพุวิเศษใส่ขวดจนเต็มแล้วออกมาจากมิติ นางเดินไปหาลูกชายทั้งสามอีกครั้ง
"อะไรหรือขอรับท่านแม่"
หลี่ซุนถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นมารดาถือขวดเล็ก ๆ ออกมา
"ยา ถ้าใครถูกงูกัดหรือเกิดบาดแผลให้รีบกิน ไม่ต้องกินจนหมด ขอแค่ได้กินไม่กี่หยดก็จะช่วยชีวิตไว้ได้ จำไว้ว่าอย่าบอกใครเด็ดขาด"
"ขอรับท่านแม่"
ลูก ๆ ของนางรีบรับคำก่อนจะสะพายตะกร้าขึ้นหลัง มือก็หยิบซาลาเปาคนละสองลูกกับกระบอกน้ำเดินกินไปตามทาง หลังจากทั้งสามคนออกไปแล้ว ซางจื้อก็รีบวิ่งไปปิดประตูลงกลอนตามที่ท่านย่าสั่ง
หลี่เหมยก็ไปช่วยลูกสาวทำเนื้อตากแห้ง หลี่หลินใช้เวลาไม่นานก็หั่นเนื้อเสร็จ หลี่เหมยจึงปรุงรสด้วยเครื่องเทศที่นางนำออกมาเตรียมไว้ แล้วคลุกเคล้าให้เข้าเนื้อ จากนั้นหลี่หลินจึงนำไปตากในกระด้งจนเต็มไปหลายกระด้ง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เหมยก็ลงมือทำหมูพะโล้ต่อ นางจุดไฟในเตาถ่านที่ทำจากดินเหนียว หลี่หลินคอยช่วยมารดาอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันหลี่เหมยก็สอนขั้นตอนและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้ลูกสาวอย่างไม่หวงแหน
หลี่เหมยเริ่มเคี่ยวน้ำตาลจนเป็นสีเข้ม ตามด้วยสามเกลอที่ประกอบไปด้วยกระเทียม พริกไทย และรากผักชีบดหยาบ ๆ จนหอมฟุ้ง จากนั้นจึงนำหมูสามชั้นที่หั่นเตรียมไว้ลงไปผัดจนหนังหมูเริ่มตึงและเหลืองเล็กน้อย
นางเติมน้ำเปล่าและซีอิ๊วขาว เกลือเล็กน้อยลงไปในหม้อ พร้อมกับเครื่องเทศโป๊ยกั๊กและอบเชยที่คั่วไว้ก่อนแล้วลงไปในหม้อ เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
เมื่อน้ำพะโล้เดือดได้ที่แล้ว นางจึงใส่ไข่ไก่ที่ต้มไว้สิบสองฟองลงไป เคี่ยวจนไข่มีสีน้ำตาลเข้มและน้ำพะโล้เริ่มข้น หลี่หลินมองดูทุกขั้นตอนด้วยความตั้งใจ ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านทำอาหารได้น่ากินและมีกลิ่นหอมแบบนี้มาก่อน
"นี่เรียกว่าหมูพะโล้ เมื่อเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำงวดลง ไข่กับหมูก็จะดูดซับรสชาติเข้าไป กัดคำไหนก็ชุ่มฉ่ำ เนื้อนุ่มละลายในปาก" หลี่เหมยหันไปบอกลูกสาว
"เจ้าค่ะท่านแม่"
หลี่หลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ในใจก็คิดว่ากลิ่นหอมขนาดนี้ รสชาติอาหารคงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
กลิ่นหอมของเครื่องเทศเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณครัว กลิ่นนี้ช่างแปลกใหม่และยั่วยวนจนเด็ก ๆ อย่างซางจื้อและซางหยวนต้องเดินวนเวียนอยู่ข้างครัว สูดดมกลิ่นไม่ยอมห่าง
"ท่านย่า! กลิ่นอะไรหอมนักขอรับ!" ซางจื้อเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"กลิ่นหมูไข่พะโล้ เดี๋ยวเสร็จแล้วพวกเจ้าจะได้ชิม"
