สามสิบตำลึง! - 2
"อาซานเอายาที่แม่เตรียมไว้ให้นางกินแล้ว แม่เชื่อว่านางต้องปลอดภัยแน่นอน"
หลี่เหมยตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ก็อ่อนโยน
"ขอให้เป็นแบบนั้นเจ้าค่ะ ลูกเป็นห่วงหลานในท้อง"
"รีบช่วยแม่จัดการกับเครื่องในหมูให้เสร็จ เราจะได้ไปจัดห้องรอรับหลานน้อยที่กำลังจะเกิด"
"เจ้าค่ะ"
หลี่หลินรับคำอย่างเชื่อฟัง นางเห็นความมั่นใจในดวงตาของมารดา จึงรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง
หลี่เหมยรู้ดีว่าน้ำพุวิเศษในมิติของนางต้องช่วยชีวิตเสี่ยวม่ายได้แน่นอน นางจึงรีบพาลูกสาวจัดการล้างทำความสะอาดไส้หมูและเครื่องในส่วนอื่น ๆ อย่างพิถีพิถัน จนหมดสิ้นกลิ่นคาว
จากนั้นก็เริ่มตั้งกระทะ ผัดเครื่องเทศและสามเกลอจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง แล้วนำเครื่องในหมูลงไปผัดจนไม่เหลือกลิ่นสาบ ก่อนจะเริ่มเติมเครื่องปรุงและน้ำลงไปจนท่วม เคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อน ๆ
ในขณะที่รอให้เครื่องในเปื่อยนุ่ม หลี่เหมยก็เริ่มนวดแป้งขาวเพื่อทำหมั่นโถว นึ่งเอาไว้เกือบ 30 ลูก ลูกแป้งสีขาวนวลถูกวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบในลังถึงไม้ไผ่
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็เข้าไปช่วยกันทำความสะอาดในห้องของหลี่ซานกับเสี่ยวม่าย พวกเขาปูผ้าสะอาด ผับผ้าห่มใหม่อย่างตั้งใจ เพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ที่จะลืมตาดูโลก
ทางด้านหลี่ซานกับเสี่ยวม่าย หลังจากที่ได้กินน้ำวิเศษในขวดที่มารดาเตรียมไว้ให้ อาการเจ็บปวดของเสี่ยวม่ายก็ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อไปถึงโรงหมอก็พบว่าทารกน้อยในท้องพร้อมจะลืมตาดูโลกแล้ว หมอตำแยจึงเข้ามาช่วยทำคลอด ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ได้ลูกสาวตัวน้อย ๆ ที่น่ารักน่าชัง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนรวมถึงหลี่ซุนที่ตามมาทีหลัง ก็ขึ้นเกวียนวัวกลับบ้านพร้อมกัน เมื่อกลับมาถึง หลี่เหมยจึงรีบออกไปดูลูก ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
"เป็นยังไงบ้าง คลอดแล้วใช่ไหม?"
หลี่ซานกับเสี่ยวม่ายมีสีหน้าย่ำแย่ ก่อนที่ทั้งคู่จะคุกเข่าลงต่อหน้ามารดา ส่วนลูกสาวของพวกเขาก็เป็นหลี่หลงที่ช่วยอุ้มอยู่ หลี่เหมยตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
"ท่านแม่ ลูกขอร้องท่าน อย่าได้ทิ้งลูกสาวของลูกเลยนะขอรับ ลูกจะทำงานให้หนักขึ้น กินให้น้อยลง ให้ลูกทำอะไรลูกห็ยอม"
หลี่ซานกล่าวพร้อมกับโขกหัวกับพื้นซ้ำ ๆ เพื่อขอร้องมารดา
"สะใภ้ขออภัยที่ทำให้แม่สามีผิดหวัง แต่นางเป็นเลือดเนื้อจากกายลูก ลูกไม่อาจทำใจทิ้งนางได้ ท่านแม่ได้โปรดอนุญาตให้ลูกเลี้ยงนางด้วยนะเจ้าคะ ลูกยอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านแม่"
เสี่ยวม่ายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าของนางซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างเจ็บปวด
พอฟังมาถึงจุดนี้ หลี่เหมยจึงเข้าใจว่านางได้หลานสาว ในความทรงจำของร่างเดิม แม่สามีคนนี้เคยพูดว่าหากได้หลานสาวจะเอาไปทิ้ง พวกเขาจึงเป็นกังวลเช่นนี้
"ลุกขึ้น! ถ้าพวกเจ้าไม่ลุกขึ้นก็อย่าหวังจะได้เลี้ยงดูนางต่อไป" หลี่เหมยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
พอได้ยินแบบนั้น หลี่ซานกับภรรยาก็ดีใจมาก ทั้งคู่รีบลุกขึ้น
"ท่านแม่พูดจริงหรือขอรับ"
"เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแม่ของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว หลานสาวก็ดีเหมือนกัน ข้ามีลูกชายหลานชายเยอะแยะ ต่อไปนี้มีหลานสาวมาให้เลี้ยงก็ดี อาหลง ส่งหลานมาให้แม่เร็วเข้า"
หลี่เหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ขอรับท่านแม่! นางหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูมากเลยนะขอรับ"
หลี่หลงรีบยื่นทารกน้อยในอ้อมแขนให้มารดาอย่างระมัดระวัง หลี่เหมยเห็นหน้าตาของหลานสาวก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ นางประคองทารกน้อยเอาไว้แล้วโยกเบา ๆ
"ไว้คืนนี้ย่าจะเลือกชื่อดี ๆ ให้เจ้าสักชื่อ ส่วนเจ้า อาซาน พาเมียของเจ้าเข้าไปพักในห้องเถอะ ช่วงนี้นางต้องอยู่เดือน ห้ามต้องลมเย็นเด็ดขาด อาหลิน เจ้าไปเทน้ำขิงใส่กา เติมน้ำตาลแดงลงไปด้วย แล้วยกเข้าไปให้พี่สะใภ้ของเจ้าในห้อง"
"เจ้าค่ะท่านแม่" หลี่หลินรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
"อีกไม่นานฤดูหนาวจะมาเยือน ปีนี้จะหนาวเหน็บกว่าทุกปี หลังจากนี้แม่จะขึ้นเขาคนเดียว ส่วนพวกเจ้า อาซาน อาหลง อาซุน ช่วยกันก่อเตาเผาถ่านจากดินเหนียว แล้วก็ตัดต้นไม้มาลงเตาเผา เหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือน เราน่าจะเผาถ่านไว้ใช้ในช่วงหน้าหนาวได้หลายเตาอยู่"
หลี่เหมยหันไปบอกลูกชายทั้งสอง
"เหตุใดไม่ใช้ฟืนเช่นเดิมหรือขอรับท่านแม่" หลี่หลงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"ฟืนไม้ควันเยอะเกินไป บ้านเรามีหลานน้อยเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต การใช้ถ่านไม้ย่อมดีกว่า"
"ลูกเข้าใจแล้วขอรับท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นลูกจะไปยืมเลื่อยที่บ้านท่านปู่"
"ได้ เดี๋ยวพวกเจ้าตักเครื่องในหมูที่แม่ตุ๋นไว้ไปให้ท่านปู่ท่านย่า หัวหน้าหมู่บ้าน แล้วก็ชาวบ้านที่มาช่วยเราเมื่อเช้า รวมไปถึงเจ้าของเกวียนด้วยนะ เอาหมั่นโถวไปด้วยบ้านละสองลูก ให้บ้านของท่านย่าเยอะหน่อย"
"ขอรับท่านแม่" หลี่ซุนรับคำอย่างนอบน้อม
"..."
"แต่ว่าเครื่องในหมู...." เขากลืนคำพูดลงไปในลำคอด้วยความกังวลใจ เพราะเครื่องในหมูไม่มีใครกินกัน
"เจ้าอย่ากังวลเลยอาซุน ไปชิมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที"
หลี่เหมยยิ้มอย่างขบขัน ยุคนี้ไม่มีใครกินเครื่องในหมู หากเป็นยุคที่นางจากมา สามารถทำขายได้ราคาดีเดียว
