น้ำพุวิเศษ - 1
เมื่อแสงตะวันลาลับขอบฟ้าไป ความเงียบสงัดก็เริ่มเข้ามาแทนที่ หลี่เหมยมองดูทุกคนในบ้านที่นอนหลับกันไปแล้วอย่างเงียบๆ นัยน์ตาของนางสะท้อนแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างเพียงน้อยนิด นางรู้สึกถึงความแตกต่างของยุคสมัยนี้กับยุคที่นางจากมาได้อย่างชัดเจน
ในยุคที่นางจากมานั้น ทุกค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงไฟนีออน เสียงเครื่องยนต์ และความวุ่นวายที่ไม่เคยจางหาย แต่ในยุคนี้ ค่ำคืนกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องขับกล่อม และแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
หลี่เหมยมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงดาวในยุคนี้ดูชัดเจนและงดงามกว่าในยุคที่นางจากมาหลายเท่านัก ยามค่ำคืนอากาศก็บริสุทธิ์และเย็นสบายจนน่าแปลกใจ
เมื่อเห็นว่าทุกคนหลับสนิทกันแล้ว หลี่เหมยก็ตัดสินใจที่จะทดลองสิ่งที่ค้างคาใจอยู่นาน นางอยากเข้าไปดูในห้างค้าส่งของนางที่อยู่ในมิติ และอยากทดลองน้ำพุวิเศษที่เสียงลึกลับนั้นเคยบอกไว้
"พาฉันเข้ามิติ"
หลี่เหมยเพียงแค่พูดเบา ๆ ในใจ พริบตาเดียวร่างกายของนางก็พลันหายไปจากบ้านดินหลังเล็ก ๆ แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งในห้างค้าส่งขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ สินค้ามากมายวางเรียงรายอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือลานกลางห้างที่เคยเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ตอนนี้กลับมีบ่อน้ำพุผุดขึ้นมา
น้ำในบ่อน้ำพุเป็นสีใสสะอาด หลี่เหมยเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย
นางก้มลงส่องดูเงาของตัวเองในบ่อน้ำ ก็เห็นใบหน้าของร่างนี้ที่เหมือนนางในยุค 2025 ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ผิวพรรณดูคล้ำและหยาบกร้านกว่าเท่านั้น เมื่อเห็นรอยแผลที่หน้าผากที่เกิดจากการล้มลงไปกระแทกกับกำแพง นางจึงใช้มือโกยน้ำพุวิเศษขึ้นมาดื่ม
"อ๊า...สดชื่นสุด ๆ" หลี่เหมยอุทานออกมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสดชื่น
เมื่อนางมองดูเงาตัวเองในบ่อน้ำอีกครั้งก็ต้องตกตะลึง รอยแผลที่หน้าผากค่อย ๆ หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ผิวหน้าของนางจากที่เคยคล้ำและหยาบกร้านก็ขาวกระจ่างใสขึ้นในทันที ความเหนื่อยล้าที่เคยมีก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำลังวังชากลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยม
"ไม่จริง! นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า" หลี่เหมยพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
นางรีบเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อส่องกระจกดูให้เต็มตา เมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกแล้ว นางก็ต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออก ใบหน้าของนางดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด
ผิวพรรณที่เคยคล้ำและหยาบกร้าน ตอนนี้กลับขาวเนียนละเอียดราวกับผิวของเด็กสาววัยสิบแปดปี ร่องรอยความเหนื่อยล้าและริ้วรอยต่าง ๆ หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสดใส
เมื่อได้พิสูจน์สิ่งที่ค้างคาในใจแล้ว หลี่เหมยก็รีบออกจากมิติแล้วเอนตัวลงนอนบนที่นอนที่ทำจากฟางข้าวอย่างไม่คุ้นชิน ไม่นานนางก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
อรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กของบ้านดินหลังน้อย หลี่เหมยตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี ร่างกายของนางดูอ่อนเยาว์และมีพลังงานเต็มเปี่ยมราวกับได้เกิดใหม่จริง ๆ นางลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดแจงตัวเองอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกมาจากห้องก็เห็นทุกคนในบ้านกำลังง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเองอย่างขะมักเขม้น หลี่ซานหาบน้ำจากบ่อน้ำกลางหมู่บ้านมาเติมในโอ่ง หลี่หลงกับหลี่ซุนช่วยกันขนฟืนที่เก็บมาจากบนเขาเมื่อวานนี้มากองไว้ข้างบ้าน
ทางด้านหลี่หลินก็รีบเข้าครัวไปต้มน้ำใส่กาเตรียมไว้ให้ทุกคนดื่ม ส่วนเสี่ยวม่ายก็เดินปัดกวาดลานบ้านช่วยแบ่งเบางานทุกคนอีกแรงหนึ่ง โดยมีซางจื้อและซางหยวนลูกน้อยทั้งสองของนางคอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง
หลี่เหมยเดินออกจากบ้านมาพร้อมกับข้าวสารสีขาวและไข่ไก่สิบฟอง นางไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ลูก ๆ กินในมื้อเช้านี้ นางยังไม่มีข้ออ้างในการนำเนื้อสัตว์ออกมาจากมิติ นางจึงทำได้เพียงแค่ใช้สิ่งของที่มีอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
"อาหลิน เอาข้าวไปหุงนะ ส่วนไข่นี้ตุ๋นให้หมดเลย" หลี่เหมยสั่งการลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
"แต่ท่านแม่เจ้าคะ นี่มันไข่ไก่สิบฟองเลยนะเจ้าคะ หรือเราจะแบ่งไว้ครึ่งหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ" หลี่หลินเอ่ยถามด้วยความเสียดาย
"ไม่ต้องหรอก" หลี่เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"...."
"ไข่นี้แม่เก็บไว้นานแล้ว ถ้ายังเก็บไว้ต่อไป มันคงจะเน่าก่อนที่เราจะได้กิน"
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลี่หลินก็รีบพยักหน้ารับ แต่ก็ยังคงจ้องมองหน้ามารดาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าทักท้วงอะไร
"อาจื้อ อาหยวน มากินเกาลัดกับย่าเร็วเข้า เดี๋ยวย่าจะปอกให้เจ้ากิน" หลี่เหมยเรียกหลานชายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
"ขอรับท่ายย่า/ขอรับ"
