ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ - 1
หลี่เหมยเป็นคนเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่ต้น รากนิสัยนี้ไม่ได้งอกขึ้นมาเพราะโชคชะตาพลิกผัน หากแต่ถูกเพาะบ่มจากการสั่งสอนของครอบครัวเดิมตั้งแต่วัยเยาว์
บ้านเดิมของนางมีพี่น้องสามคน พี่ชายคนโต หวังต้า เป็นบุรุษเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัวเกินผู้ใด รู้จักใช้ปากหวานและน้ำคำอ้างบุญคุณหลอกกินแรงคนอื่น ส่วนพี่ชายคนรอง หวังเอ้อ เป็นคนซื่อจนเกือบจะโง่งม มักถูกพ่อแม่และพี่ชายคนโตข่มเหงใช้งาน
แม่ของนาง หวังเฉียน เป็นหญิงปากหวานแต่ใจคด นางชำนาญนักในศิลปะแห่งการบีบคั้นลูกหลาน ยามเอ่ยปากสั่ง หลี่เหมยมักถูกแม่กล่าวถ้อยคำเจือพิษที่แฝงความกดดันไว้เต็มเปี่ยม
"พี่เจ้ากำลังลำบาก หากเขาขาดเพียงหมูสามชั้นกับเหล้าดีอีกนิด จะมีแรงทำงานได้อย่างไร"
"พี่เจ้าอุตส่าห์ส่งเจ้ามาเป็นสะใภ้บ้านหลี่ หากไม่ตอบแทนเขา คนจะว่าบ้านเราสอนไร้คุณธรรม"
ไม่เพียงเท่านั้น พี่ชายคนโตมักใช้สิ่งล่อใจแบบแยบคายมาผูกใจน้องสาว บ้างก็เป็นคำยกยอว่าหลี่เหมยเป็นที่พึ่งของบ้านเดิม เป็นน้องสาวที่กตัญญูยิ่งกว่าผู้ใด
บ้างก็ใช้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นผ้าผืนงามจากในเมือง อ้างว่ามีเพียงชิ้นเดียวในตลาด มอบให้หลี่เหมยเพื่อหว่านล้อมให้นางรู้สึกว่าตนเป็นคนสำคัญ
ยิ่งกว่านั้น ในความคิดแบบคนโบราณที่บิดเบี้ยวและเจ้าเล่ห์ การเอาเงินทองกลับไปให้บ้านเดิม ไม่เพียงถือเป็น "ความกตัญญู" แต่ยังเป็นการซื้อที่ยืนในใจพ่อแม่และพี่น้อง
เพื่อให้ตนมีบ้านเดิมคอยเป็นเกราะป้องกันหากเกิดเรื่องในบ้านสามี หลี่เหมยจึงเชื่อว่าการทำให้บ้านเดิมพึงพอใจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในระยะยาว แม้ต้องแลกกับการตัดปากตัดท้องลูก ๆ ก็หาได้ลังเลไม่
ในสายตาของนาง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเอาเปรียบ แต่เป็น "การวางรากฐาน" ให้ตนเองอยู่รอดในยุคสมัยอันโหดร้าย และด้วยเหตุผลอันคดงอเช่นนี้ หลี่เหมยจึงไม่เคยรู้สึกผิดที่ขนข้าวสาร และเสบียงอาหารที่มี ไปจนถึงเงินทอง กลับไปให้บ้านเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ลูก ๆ ของตนต้องทนกินรำข้าวเพียงวันละถ้วย จนผอมแห้งแทบจะไม่มีแรงออกไปทำงาน
"ปวด..อึก ปวกหัว หยุดสักที!"
หลี่เหมยรู้สึกราวกับศีรษะกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ความเจ็บปวดจากการหลอมรวมความทรงจำของร่างเดิมยังคงรุมเร้าไม่จางหาย
ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้นางได้รับรู้ถึงสิ่งที่ร่างนี้ต้องเผชิญ มันไม่ได้ทำให้เธอสงสารร่างนี้เสียทีเดียว แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดหญิงคนนี้ถึงได้มีจิตใจที่บิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนี้
ทว่าความเข้าใจก็ไม่ได้หมายถึงการให้อภัย เพราะการกระทำที่เลวทรามนั้นไม่สามารถถูกชดเชยด้วยความเจ็บปวดในอดีตได้ หลี่เหมยในร่างใหม่รู้สึกโกรธเคืองเจ้าของร่างคนเก่าที่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งปัญหาใหญ่หลวงไว้ให้นางต้องสะสาง
ในขณะที่หลี่เหมยกำลังกรีดร้องอยู่ในใจอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากหน้าบ้าน เสียงแหลมบาดหูของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจใคร
"หลี่เหมย! หลี่เหมย! แม่นางหลี่! ข้ามาตามนัดแล้ว! เจ้ารีบเอาคนออกมาเร็วเข้า! ข้าต้องรีบเอาคนไปส่งให้นายท่านจ้งในเมืองนะ!"
เสียงนั้นเปรียบเสมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของทุกคนที่อยู่ภายในห้อง เด็ก ๆ ทุกคนต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหลี่เหมยในทันที
หลี่ซาน ลูกชายคนโตเป็นคนแรกที่เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ท่านแม่ขอรับ! ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย! ลูกจะทำงานให้หนักขึ้น จะหาเงินมาให้ท่านแม่ให้มากกว่าเดิม ได้โปรดอย่าขายน้องสาวกับลูกของลูกเลยนะขอรับ!"
หลี่หลง ลูกชายคนรองที่ปกติไม่เคยสนใจเรื่องใด ๆ ก็เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผกไปจากเดิมเล็กน้อย ถึงเขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่อยากจะขายพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
"ท่านแม่! หากท่านทำเช่นนี้ พี่ใหญ่คงไม่ให้อภัยท่านแล้วนะขอรับ!"
หลี่ซุน ลูกชายคนที่สามที่ไม่ค่อยจะพูดจาอะไรก็ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงกับพื้นอย่างเงียบ ๆ แต่ไหล่ที่สั่นเทาของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ
หลี่หลิน ลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะถูกขายออกไป เป็นคนถัดมาที่เอ่ยปากขอร้องมารดาด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
"ท่านแม่! ได้โปรดอย่าขายลูกเลยนะเจ้าคะ! ลูกจะกินให้น้อยลง จะทำงานให้มากขึ้น ลูกจะไม่บ่นเรื่องความอดอยากอีกแล้ว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ! ลูกกลัว..."
เด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้าที่ขาวซีดของนางดูราวกับจะไม่มีเลือดฝาด ดวงตากลมโตที่เคยสดใสตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสิ้นหวัง
หลี่เหมยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บีบรัดหัวใจ ในความทรงจำของร่างเดิม หลี่หลินเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและอ่อนโยนที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด แต่กลับเป็นนางที่ต้องถูกมารดาใจยักษ์ หมายจะนำไปขายเพื่อแลกกับเงินไม่กี่ตำลึง
เสียงร้องไห้ของหลี่ซางจื้อและหลี่ซางหยวน ลูกชายทั้งสองของหลี่ซานดังขึ้นไม่หยุด หลี่ซางจื้อในวัยหกขวบคุกเข่าลงกับพื้นจนตัวสั่นเทา เขาร้องไห้จนตัวโยนด้วยความกลัว ส่วนหลี่ซางหยวนที่อายุเพียงสี่ขวบนั้นร้องไห้อย่างไม่เข้าใจในเรื่องราวทั้งหมด ได้แต่เพียงมองพี่ชายของตนเองด้วยความหวาดกลัว
ภาพตรงหน้าทำให้หลี่เหมยอดเวทนาไม่ได้ นางมองหน้าของเด็ก ๆ แต่ละคนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หลี่ซานดูเป็นคนซื่อสัตย์และขยันขันแข็งอย่างที่ความทรงจำของร่างเดิมได้บอกเอาไว้
ส่วนหลี่หลงนั้นดูดีอย่างที่ว่าจริง ๆ แต่แววตาที่เจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัวก็ฉายออกมาอย่างชัดเจน ทว่าการร้องขอเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกว่าเด็กคนนี้ยังพอขัดเกลาได้ หลี่ซุนดูเงียบขรึมและเก็บตัว ส่วนหลี่หลินนั้นเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่คิดจริง ๆ
หลี่เหมยพยายามลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางที่อ่อนแรงและไม่คุ้นชินกับร่างกายใหม่นี้ นางรู้สึกปวดหัวจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่อ้อนวอนของเด็ก ๆ นางก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะลุกขึ้นให้ได้
"ปล่อยข้าก่อน"
คำพูดของหลี่เหมยทำให้ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลงในทันที พวกเขาคิดว่าหลี่เหมยคงจะไล่ตะเพิดพวกเขาแล้ว หลี่เหมยจึงพยายามลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง แต่นั่นกลับทำให้ลูก ๆ ของนางยิ่งตกใจและหวาดกลัวขึ้นไปอีก หลี่ซานรีบเข้ามาโอบกอดขาของมารดาเอาไว้แน่น
