บทที่ 3
ทั้งสามที่เพิ่งได้รับภารกิจมาสดๆร้อนๆ เดินแยกย้ายกันไปกับพ่อจำเป็นคนนำทาง เครื่องดักฟังที่ดูมีเสียงหนึ่งเรียกขึ้นเบาๆ เพื่อเช็คสัญญาณของอุปกรณ์บนเกาะ ทำให้ทั้งสามหันกลับไปมองหน้ากันเพื่อส่งสัญญาณ
‘เทสต์ เทสต์ สัญญาณบนเกาะชัดเจนไหม?’
เสียงของศิรานนท์ที่เพิ่งไปถึงเซฟเฮ้าส์ รีบถามเพื่อนร่วมทีม
“อือ !” ทุกคนตอบขึ้นมาพร้อมกัน และแยกย้ายกันไปทันทีเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
ผู้ใหญ่จงในวัยแก่ชราใกล้เกษียณเพิ่งเสียลูกสาวทั้งสองคนไปเพราะยาเสพติดให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดีกับทางการ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล รวมไปถึงการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อชาวบ้านตาดำๆบนเกาะลิงลมเขาจึงตั้งปณิธานจะกวาดล้างยาเสพติดและอิทธิพลเถื่อนออกไปจากบ้านเกิดให้ได้
พวกเอ็งสองคนชื่อสวย กับสาวได้ไหม? เอ่อ เป็นชื่อลูกสาวข้าเอง” ผู้ใหญ่จงหันมาบอกกับทั้งสองเบาๆ เพราะกลัวคนอื่นเข้ามาได้ยิน
“ได้จ้ะ” ทั้งสองคนตอบขึ้นพร้อมกัน
“เอ่อ และไม่ต้องพูดแบบนี้พร้อมกันเหมือนทหารนะเว้ย เดี๋ยวพวกมันก็จับได้พอดี”
“ฮ่าๆได้จ้ะลุง เอ๊ย พ่อ” เขมิกาพูดขำๆ“งั้นฉันชื่อสวยนะจ๊ะ” และเลือกชื่อตัวเองเสร็จสรรพ
“งั้นฉันชื่อสาวก็ได้จ้ะ แล้วสาวหรือสวยเป็นพี่เป็นน้องล่ะจ๊ะพ่อ” อุรัสมาถามขึ้นอย่างสงสัย
“อ่อ สวยมันเป็นพี่ สาวเป็นน้อง” นายจงตอบ แม้ลูกสาวเพิ่งจากไปได้ไม่นาน แต่เขาก็พอจะทำใจได้บ้างแล้ว และก็เอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับการกวาดล้างยาเสพติดช่วยทางการซะส่วนใหญ่
“พวกเอ็งระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ หัวหน้าแก๊งมันน่ะชื่อนายหัวแวน”
“แวน …เจ้าพ่อค้าอาวุธตัวฉกาจกลบดานอยู่ที่นี่เหรอคะเอ่อ จ้ะ?” อุรัสมาถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“อือ แต่ไม่ค่อยเจอมันบ่อยนักหรอก เพราะนานๆทีมันจะมา แต่ข้าว่าส่งยากับอาวุธรอบนี้มันต้องมาที่นี่แน่ๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ กระต่ายไร้เงากับเสือปืนไวอยู่นี่ทั้งคน” เขมิกาบอกยิ้มๆ
“ไม่ห่วงได้ไง พวกเอ็งเป็นผู้หญิง มันจะจับพวกเองไปทำเมียน่ะสิ”
“-0-“
“เปิด GPS ที่เครื่องดักฟังไว้ตลอดเวลาด้วยล่ะ เกิดมันทำอะไรพวกเอง ข้าจะได้ไปช่วยทันเวลา” ผู้ใหญ่บ้านบอก แล้วใส่เครื่องดักฟังอีกอันที่ได้มาที่หูตัวเอง
“โอเคจ้ะ” เขมิการับคำ และกดปุ่ม GPS ที่เครื่องดักฟัง
“ระวังคำหน่อยสิวะ คนบนเกาะนี้น่ะ‘โอเค’ ไม่มีเว้ย” เขาบอกลูกสาวกำมะลอเสียงหงุดหงิด
“จ้ะพ่อ”
“ลืมบอกไป นางสวยน่ะเป็นเมียไอ้เข้มนะ ส่วนนางสาวน่ะยัง”
“ห้ะ !!! ไอ้เข้มไหนเนี่ย???” เขมิกาโวยเสียงดัง และเพื่อนรักที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็ขำก๊ากทันที
“ไม่ต้องตกใจ ไอ้เข้มมันโดนฆ่าตายไปแล้ว” เขาพูดเสียงเศร้า เมื่อนึกถึงวันที่รู้ว่าลูกเขยบุกไปช่วยลูกสาวคนเดียว แล้วโดนยิงตายจนร่างพรุน
“โอ…ค่อยยังชั่วหน่อย”
“โล่งเชียวนะจ๊ะพี่สวย” อุรัสมาล้อเลียนเพื่อน “ถ้าฉันไม่มีจะได้หา ทีนี้พอกลับไปที่โน่นพี่อ้ายกับพ่อก็ขัดอะไรไม่ได้ หึหึ”
“ร้ายไปไหมแก !!!!” เขมิกาพูดเสียงดัง
“เบาๆสิพวกเองนี่ ข้าบอกเขาว่าพวกเองเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ ยังไงก็เนียนๆหน่อยนะ”
“โอเค เอ๊ย ได้จ้ะพ่อ” เขมิกาพูดอย่างเซ็ง “นี่ฉันดูเรียบร้อยไปป่ะ จ๊ะจ๋า อะโหย”
“เอาน่าพี่สวย” เพื่อนรักพูด และตีบ่าเบาๆ
“เอ่อ จริงๆนางสวยกับนางสาวมันแต่งหน้ากันหนาจะตาย นู่นไงเครื่องสำอางค์” เขาชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งลูกสาวตัวเอง “ชอบทาปากแดงๆกันอย่างกับปอบไม่รู้สวยตรงไหน”
“ปากแดงๆจะไว้ใจได้กา ~” เขมิกากับอุรัสมาวิ่งตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อดูเครื่องสำอางค์ที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
“เครื่องแน่นเชียว” อุรัสมาบอกเพื่อนยิ้มๆ
“ของชอบฉันเลยแก อยู่เกาะก็สวยได้นะจ๊ะ”
“แต่งเอาที่พี่สวยสบายใจเลย” หญิงสาวส่ายหัวให้กับท่าทีกระดี๊กระด๊าของเพื่อน
“พวกเอ็งชอบก็ดี งั้นข้าออกไปตรวจรอบๆหมู่บ้านก่อนนะ อาบน้ำเสร็จก็รีบๆเข้านอนซะ”
“จ้ะ พ่อ” เขมิกาตื่นเต้นกับเครื่องสำอางค์ราคาแพงหลายยี่ห้อบนโต๊ะ และกำลังหยิบบรัชออนขึ้นมาปัดแก้มเบาๆ
“พ่อต้องไปตรวจรอบๆหมู่บ้านแบบนี้ทุกวันเลยเหรอจ๊ะ?” อุรัสมาถามขึ้น
“อือ มันชอบมีคนแอบขโมยถังน้ำจืดกันน่ะ เป็นห่วงลูกบ้าน”
“ให้หนูไปด้วยนะจ๊ะ”
“เฮ้ย เอ็งเป็นผู้หญิง ไปเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะผิดสังเกตุ”
“แต่ว่าให้ฉันตามพ่อไปนะจ๊ะ พ่อจะได้แนะนำด้วยว่าฉันเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพไง ใครชื่ออะไรฉันจะได้จำไว้ เกิดพรุ่งนี้ใครทักจะได้คุยถูก” อุรัสมาหว่านล้อมให้เขาพาไปด้วย
“เออ แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน” เขาบอก
“จ้ะพ่อ”
“เอ็งไปกับข้า ส่วนเอ็งก็เฝ้าบ้านดีๆล่ะ ถ้าโดนขโมยน้ำเอ็งก็นั่งเรือไปซื้อกลับมาละกัน” ชายวัยชราแต่ยังดูแข็งแรง บอกลูกสาวกำมะลอที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“โห!!! ฉันจะรักษาถังน้ำอย่างดีเลยจ้ะพ่อ นั่งเรือมานี่ก็สี่ชั่วโมง ให้ฉันนั่งไปกลับแปดชั่วโมง ฉันนั่งเฝ้าขวดน้ำจะดีกว่า” เขมิกาโอดครวญ และรีบลุกออกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปลากถังน้ำมาไว้ในห้องนอนอย่างทุลักทุเล
“เออ คิดได้ไงวะ นอนกับถังน้ำก็ดีเหมือนกัน” ผู้ใหญ่บ้านเห็นด้วย เพราะหากเฝ้าขวดน้ำเอาไว้ตลอด ก็คงไม่มีใครมาขโมย
“จ้ะ”
“เราไปกันได้ละ เดี๋ยวดึกซะก่อน” เขาหันมาบอกลูกสาวกำมะลออีกคนที่ยืนรออยู่
“จ้ะพ่อ” หญิงสาวรับคำ แล้วเดินตามออกไป
ณ สัตหีบ
“มีเรือสินค้าต้องสงสัยสามลำเข้ามาในน่านน้ำไทยครับ เราโทรเลขไปเตือนหลายครั้งแล้ว และไม่ได้รับการตอบกลับ” เรือตรีภูมิทัศน์รายงานเหตุการณ์ในเวลาเช้ามืดขณะที่กำลังเข้าเวรยามอยู่
“รู้ไหมว่าเป็นเรือสินค้าสัญชาติไหน?” ผู้บังคับ บัญชาถามเสียงเข้ม
“ไม่ทราบครับ” เขาตอบ
“เพราะเรือไม่มีการระบุสัญชาติ และไม่ตอบโทรเลขที่เราส่งไปครับ” รพีฉายพูดเสริม
“ผู้กอง หมวดภูมิ หมวดปกป้อง หมวดต้น มาพบผมที่ห้องประชุมภายในสิบนาที” เสียงแข็งทรงพลังสั่งอย่างเคร่งเครียด และรีบเดินออกไป
“พวกผมมาแล้วครับ ขออนุญาตเข้าห้อง” รพีฉายพูดขึ้น เมื่อยืนอยู่หน้าห้องประชุมเล็กที่มีผู้บังคับบัญชารออยู่
“เข้ามา”
“ครับผม”
ทุกคนนั่งเก้าอี้เป็นวงกลม และรอฟังคำสั่งจากปากของหัวหน้า
“ผมมีความรู้สึกว่ามันจะเป็นเรือขนยากับอาวุธเหมือนที่เราคาดไว้ ตอนนี้หน่วยข่าวกรองส่งคนเข้าไปแทรกซึมอยู่บนเกาะที่สายรายงานมาว่าเป็นที่พักอาวุธแล้ว” เขาเว้นสักพักเพื่อดูปฏิกิริยาของลูกน้องที่กำลังฟังอย่างเคร่งเครียด
“ที่ผมเรียกพวกคุณมา เพราะผมอยากให้พวกคุณนำเรือลาดตระเวนออกตรวจตามเกาะต่างๆก่อนจะเช้า ทำให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเชื่อมือพวกคุณ”
“รับทราบ!!!” ทุกคนตอบเสียงดัง และพร้อมเพรียงกัน
เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการพวกเขารีบแยกย้ายกันไปเตรียมตัวทันที โดยนัดหมายกันให้เสร็จภายในสิบนาที เพราะต้องทำแข่งกับเวลา แถมยังได้รับคำสั่งแบบฉุกละหุก
“ออกเรือ” รพีฉายหันไปสั่งภูมิทัศน์ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ
ส่วนคนอื่นๆกำลังใช้กล้องส่องทางไกลสอดส่องความเรียบร้อยทุกที่ที่เรือลาดตระเวนขับผ่านไป แม้จะเป็นเวลาที่ดึกสะงัดบนท้องทะเลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาคืออุดมการณ์อันแน่วแน่ที่จะปกป้องอธิปไตยไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามาลุกล้ำผืนน้ำของประเทศไทย
“ผู้กองครับ เมื่อกี้ที่ศูนย์รายงานมาว่าเรือสินค้าสามลำกำลังมุ่งตรงไปที่เกาะลิงลมครับ” ภูมิทัศน์ที่ทำหน้าที่ขับเรือลาดตระเวน และคอยฟังวิทยุสื่อสารพูดขึ้น
“ไปขวางไว้ก่อนไหมครับ” ศิฑาถามขึ้น
“ใจเย็นก่อนหมวดต้น เราเหลืออีกสองเกาะที่ต้องสำรวจก่อน ยังไงก็ทัน” รพีฉายที่ประเมินสถานการณ์ไว้ในหัวพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“งั้นผมบอกให้ทางศูนย์ส่งโทรเลขเตือนไปอีกครั้งนะครับ” ภูมิทัศน์บอก
“อือ”
“ถ้าเราไปขวางไม่ทันล่ะครับหัวหน้า” ปกป้องถามขึ้นอีกคน
“ถ้าไม่ทันก็… หมวดภูมิบอกทางศูนย์ว่าถ้าโทรเลขแล้ว ไม่ได้รับการตอบรับภายในยี่สิบนาทีส่งกำลังมาเสริมทันที” รพีฉายพูดจบ ลูกน้องทุกคนก็ยิ้มพอใจกับการตัดสินใจของหัวหน้า
“รับทราบ”
“เกาะข้างหน้าเปิดไฟกันด้วยครับ” ศิฑาพูดขึ้น เมื่อเริ่มเห็นแสงไฟประปรายอยู่รอบเกาะ
“ถึงเกาะแล้วหมวดป้อง กับหมวดต้นลงไปสอบถามชาวบ้าน พอตอนกลับจะมารับ” รพีฉายบอก และคิดว่าหากส่งลูกน้องไปคนเดียวจะเป็นการประมาทเกินไป ควรจะส่งไปสองคนหากมีอันตรายจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน
“รับทราบ” ทั้งคู่ประสานเสียงกัน
“หมวดภูมิ โอเคไหม? ที่จะไปกับผม” เขาถามขึ้น
“ไม่มีปัญหาครับ” ภูมิทัศน์พูดอย่างเป็นกัน
“อะแฮ่ม” รพีฉายต้องแอบติง เพราะเวลางานเขาอยากให้ทุกคนจริงจัง และระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
“รับทราบ” ภูมิทัศน์แก้อย่างกระตือรือร้น “ผู้กองครับ เรือสินค้าสามลำไม่ยอมตอบโทรเลขเรา”
“งั้นบุก !” เขาพูดเสียงขรึม
“ส่งหมวดต้น กับหมวดป้องที่เกาะเลยนะครับ”
“ตามนั้น”
ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง !
เสียงปืนกลไม่ทราบพิกัดรัวยิงใส่พวกเขาหลายนัดจนต้องรีบหลบกันเป็นพัลวัน และดูเหมือนลูกกระสุนตกลงมาจากฟ้าจำนวนมหาศาล แปลว่าพวกมันไม่ได้มีแค่คนเดียว และอาจจะมีกันเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควร
“เราถูกโจมตีบริเวณท่าเกาะถ่านครับ” ภูมิทัศน์ตะโกนใส่ไมโครโฟนเสียงดัง
“พวกเราโดด” รพีฉายสั่งให้ลูกน้องโดดออกจากเรือลาดตระเวน ก่อนที่จะโดนยิงตายกันหมด เพราะไม่มีทีท่าว่าฝ่ายตรงข้ามจะลดละ
“ผู้กองครับ เราไม่สามารถติดต่อกับทางศูนย์ได้แล้วครับ” ภูมิทัศน์บอก พร้อมกับขับเรือหลบลูกกระสุนที่กระหน่ำยิงมาทุกทิศทาง
“หมวดภูมิโดดเดี๋ยวนี้ !!!” รพีฉายสั่งเสียงเข้ม เพราะเป็นห่วงลูกน้อง
“รับทราบ” เขาตะโกนตอบ และโดดตามเพื่อนร่วมงานอีกสองคนลงไป
“ไปให้ไกลที่สุด” คำสั่งสุดท้ายของรพีฉายดังขึ้น และเขาเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะขับตรงไปเพื่อล่อให้ลูกกระสุนไปอีกทาง
ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง
เสียงลูกกระสุนตามเรือมาติดๆ จนเขาเริ่มใจคอไม่ดี แถมไม่รู้พิกัดของพวกมันอีกต่างหาก วิทยุสื่อสารสัญญาณขาดๆหายๆจนพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง และเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในวิทยุสื่อสารแทน
‘เทสต์ หนึ่ง สอง สาม’ เสียงชายหนุ่มแทรกเข้ามาอย่างใจเย็น และเขาก็พูดต่อ ‘ผมเป็นหน่วยข่าวกรอง สัญญาณวิทยุถูกตัดขาดไป แต่สัญญาณผมยังมีอยู่’
“คุณเป็นพวกเราถูกไหม?” เขาถามขึ้นด้วยความระแวง
‘ใช่ครับ ผมเรือโทศิรานนท์ ธาราพิสุทธิ์’
“ผมกำลังจะตาย เรือลาดตระเวนโดนยิง” รพีฉายรีบพูดขึ้น เพราะชายหนุ่มที่คุยกับเขาไม่ยอมพูดอะไรสักที
‘โดดออกมา’
“อะไรนะ??” รพีฉายถามขึ้นอีกครั้ง เพราะฟังไม่ชัด
‘โดดออกจากเรือไปซะ พวกมันมีระเบิด’
“คุณรู้ได้ยังไง?”
‘สัญญาณของผมถูกดัดแปลงเป็นคลื่นพิเศษสามารถตรวจจับวัตถุระเบิดได้’
“คุณเป็นลูกกาลิเลโอเหรอ ?” เขาถามอย่างหงุดหงิด เพราะไม่ค่อยอยากจะเชื่อชายหนุ่มเท่าไหร่
‘คุณควรจะเชื่อผม’ ปลายสายบอกเซ็งๆ
“โอเค ผมเชื่อคุณ” รพีฉายตอบ แล้วถอดหูฟังออก ก่อนจะกระโดดลงน้ำไปทันที
ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง !
เขาพยายามว่ายให้ต่ำที่สุด เพื่อหลบวิถีของลูกกระสุนที่ถูกสาดใส่เรือไม่ยั้ง ถ้าหากไม่เคยฝึกดำน้ำลึกขนาดนี้เขาอาจจะตายแน่ๆ ภายใต้ผืนน้ำดำสนิทไปทุกทาง เขากดเปิดไฟสีเขียวที่นาฬิกาข้อมือทันที
ตู้มมมม !!!
เสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมกับอัดร่างเขาที่เพิ่งว่ายออกมาได้ไม่ไกลกระเด็นออกไปใต้น้ำลึก สติที่มีอยู่ดับวูบลงทันที…
