ตอนที่ 4 ประกาศิตไร้ใจ (3)
“มีเรื่องที่บ้านนิดหน่อย คุณแม่เลยอยากให้พี่แยกออกมา” ก้อนขมขื่นแล่นมาจุกอยู่ที่คอหอยเมื่อนึกถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เธอจำใจต้องทำตามที่มารดาขอร้อง คือแยกออกมาอยู่กับน้องสาวคนเล็กอย่างคุณพราวพิไล
“จะเป็นไรไปครับ ก็ย้ายมาอยู่เสียด้วยกันที่นี่ บ้านเราออกกว้างขวาง ห้องหับก็มีถมไป ดีเสียอีกคุณพราวจะได้มีเพื่อน...” คนพูดนึกต่อในใจ จะได้ไม่ว่างไปราวีใครอีก “อีกอย่างหนึ่ง...”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงหนึ่งขัดจังหวะขึ้น
“ยะ... .แย่แล้วครับคุณไกร... แย่แล้ว” คุณพงศ์เอกวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา หน้าตาตื่น
“เกิดอะไรขึ้นคุณเอก”
“หนูทราย... หะ... หา...” คนพูดพยายามรวบรวมกำลังทั้งที่เหนื่อยหอบ “หนูทรายหายตัวไปแล้วครับ!”
ร่างผอมบางมอมแมมเดินโซซัดโซเซบนถนน หลายต่อหลายหนที่คนตัวน้อยเซวูบหวิดถูกรถเฉี่ยวชน หากก็แคล้วคลาดไปได้ หากเจ้าตัวกลับไม่ได้ใส่ใจ ดวงหน้าที่ประดับรอยแดงเป็นปื้น สองตาแดงก่ำเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มือข้างหนึ่งมีรอยเลือดซึมหยดเป็นทาง
“ไป...ไป...” หนูน้อยพลางพร่ำบอกกับตัวเอง หากทุกครั้งก็เกิดคำถามในใจ...จะไปไหนดี?
ที่ไหนก็ช่าง... ขอให้ไปพ้นจากคนใจร้ายก็พอ
‘เธอผิดเองที่ไม่อยู่ในที่ของตัวเอง’ ใช่! เราผิดเองที่ไม่อยู่ในที่ของตัวเอง แต่...ที่ของเรา มันที่ไหนล่ะ? วูบหนึ่ง นึกเห็นภาพบ้านในสลัมที่มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน แม่...ตายในนั้น ที่ของเรา หรือจะเป็นที่นั่น
“ไป...ไป...” ในเมื่อเจ้าของบ้านเขาไล่ขนาดนั้น จะอยู่ไปไยให้เจ็บช้ำ
“แม่ขา หนูคิดถึงแม่ ทำไมไม่พาหนูไปด้วย ฮือ...” ลูกแก้วคู่สวยรื้นน้ำตาคลอจนกลบภาพเบื้องหน้า สองเท้าจ้ำอ้าวราวกับจะหนีให้พ้นเสียงที่ก้องอยู่ในหัว จนท้ายสุดต้องเร่งฝีเท้ากลายเป็นวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง จนสะดุดก้อนหินเซถลาไปกลางถนนที่มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตรงมา เสียงแตรรถแผดดังลั่นจนเด็กน้อยสะดุ้งโหยงหันขวับมองอย่างตกตะลึงใจหายวาบ
แล้วทันใดนั้นเองร่างเล็กจ้อยก็ถูกกระชากสุดแรงจนลอยละลิ่ว
“เอี้ยด...โอ้ย” เสียงล้อรถบดกับพื้นถนน พร้อมกับร่างสองร่างล้มกลิ้งไปบนพื้นถนน
‘เจ็บจัง...นี่เราจะถูกรถชนตายไปแล้วหรือ’
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่านังหนู” เสียงคนขับรถร้องตะโกนถาม
“เจ็บสิน้า” ใครคนหนึ่งเป็นฝ่ายตอบแทน “โอย...กระดูกกระเดี้ยวจะหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“งั้นไปหาหมอที่โรงพยาบาลดีกว่า” คำนั้นทำให้เด็กหญิงตัวน้อยผวาเฮือก คนมาช่วยนึกรู้จึงปฏิเสธออกไปแทน
“ก็ตามใจ คราวหน้าจะข้ามถนนก็ระวังๆ หน่อยนะนังหนู”
“เดินใจลอยแบบนี้ ถ้าถูกรถชนตายจะทำยังไง ฮึ ยัยแมวขโมยน้อย” สรรพนามนั้นทำให้ศุภิสรารีบเงยหน้ามองคนพูดทันที
“พะ... พี่โท!”
“ก็ใช่น่ะสิ โอย...” โทรินทร์ครางหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปล่อยแขนจากร่างน้อย “เกือบทำฉันตายไปด้วยแล้วรู้ไหม”
“แล้วมาช่วยทำไม”
“หนอย ทำคุณบูชาโทษ อุตส่าห์ช่วยไม่ให้ถูกรถทับตายกลับได้บาป ฮึ มันน่า…” คนพูดเงื้อง้ามะเหงกขึ้นอย่างมันเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าหลับตาปี๋ วินาทีนั้นเอง จู่ๆ มะเหงกก็กลายเป็นลูบลงบนเส้นผมสลวยของเธอแทน
“โป้งแปะ หาตัวเจอแล้ว” เด็กชายยิ้มให้พลางปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา “รีบเดินจ้ำอ้าวแบบนี้จะไปไล่ควายที่ไหนหืม?”
พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ ดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายเขาโง้ง ที่ตอนนี้เขาข้างหนึ่งหัก แถมหน้ายุบบี้แบนไปแถบหนึ่งเพราะโดนทับ ทำให้เจ้าของบ่นอุบอิบ
“ว้า...สงสัยตอนกลิ้งเมื่อกี้ล่ะสิ เสียดาย กะว่าจะเอามาฝากซะหน่อย อะ...ให้”
“พี่โทตามมาได้ยังไงคะ”
“ก็ตามรอยเลือดมาน่ะสิ” คนพูดรีบคว้ามือน้อยๆ ขึ้นมาซับเลือดให้เบาๆ ก่อนรวบร่างบางนั้นมากอดปลอบโยน
“โอ๋ๆ เจ็บมากไหม ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรน้องทรายได้ ลองมาสิจะให้ควายขวิดไส้แตกเลย คอยดู”
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คุณพงศ์เอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก ทีแรกเขาจะเข้ามาช่วยตั้งแต่ตอนที่เห็นหนูน้อยเซถลาไปกลางถนนแล้ว หากทว่าก็ยังช้าไปกว่าเจ้าลูกชายตัวดี หากตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะออกโรงเข้าไปช่วยบ้างแล้ว
