
บทย่อ
“ที่ไหนมีฉัน ที่นั่นจะต้องไม่มีเธอ ถ้าฉันอยู่ที่ไหนก็ตาม จำไว้ว่าที่นั่นคือสถานที่ ‘ต้องห้าม’ สำหรับกรวดทรายไร้ค่าอย่าง...เธอ... และถ้าเธออยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันจะไม่ขอเหยียบย่างเข้าไปที่นั่นเป็นอันขาดเช่นกัน... ” นั่นคือประกาศิตแสนเลือดเย็นจากปากของผู้ชายที่เธอแอบหลงรักและเฝ้าคิดถึงมาตลอด 10 ปี!!ประกาศิตที่ทำให้ชีวิตของคนทั้งสองกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบได้ แม้ว่าจะอยู่ในอาณาบริเวณบ้านเดียวกันก็ตาม เขาก็จะทำเป็นมองไม่เห็นราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุ หากคุณเพชรของบ้านไม่เคยรู้ ผ้าเช็ดหน้าที่เขาเคยซับเลือดให้เธอในวันนั้น กลับถูกคนตัวเล็กเก็บไว้อย่างดีราวกับเป็นสมบัติมีค่า เช่นเดียวกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนของ...เขา ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจน้อยๆ อย่างไม่เสื่อมคลายแม้ใจจะอยากลืมแค่ไหนก็ตาม ผิดกับเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำเป็น...ลืม...ได้แม้กระทั่งคนอาศัยร่วมบ้านไปอย่างง่ายดายราวกับไม่เคยมีตัวตน…
บทนำ
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ”
คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”
“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ
บุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมอง
ข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน
‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะกระโจนเข้าไปในกองเพลิง ดีแต่คนรอบข้างคอยยื้อหนูน้อยไว้ไม่ให้ทำตามใจได้ ดวงหน้าที่มอมแมมด้วยเขม่าควันดำถอดแบบมาจากสาวเคราะห์ร้ายผู้นั้นราวกับพิมพ์เดียวกันร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และนี่เองคือเหตุผลที่เขาต้องรีบมาที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้ สายเลือดในอกแห่งเธอผู้นั้นคือสายใยเดียวที่ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ติดค้างในหัวใจมาจนถึงวันนี้
“น่าสงสารนะคะ แม่ก็ต้องมาตายเสียในกองไฟ ญาติก็ไม่มีสักคน ยังดีที่มีพลเมืองดีเวทนาเอาตัวมาส่งให้เราเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเร่ร่อนเป็นภาระสังคมแน่ทีเดียว”
“แล้วพ่อของเด็กล่ะครับ”
“ไม่ทราบสิคะ ตอนมีคนพามาส่งก็ถามแล้วนะคะ แต่ไม่มีใครทราบเลย แถมเด็กก็ไม่ยอมพูดยอม ถามอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ นี่ดีขึ้นมากนะคะไม่ค่อยร้องหนักเท่าวันแรก”
“เด็กคนนี้ชื่ออะไรครับ”
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าชื่อศุภิสรา ธนวิจักร และชื่อเล่นว่า ‘ทราย’ ค่ะ” ดวงหน้าหวานของเด็กตรงหน้าคงดูสดใสขึ้น หากถูกระบายด้วยรอยยิ้ม เฉกเช่นเด็กสาวแสนสวยที่เขาคุ้นเคยในอดีตที่ติดตรึงใจมากว่าสิบปี อดีตที่อยากลืมแต่กลับเด่นชัดในความทรงจำ จนถึงวันหนึ่งที่เธอผู้นั้นพาความทรงจำแสนงดงามหายไปเหลือไว้เพียงความเจ็บปวดในใจ
“แล้วถ้าผมจะรับเด็กคนนี้ไปอุปการะต้องทำยังไงบ้างครับ”
