บทนำ (2)
การที่เขามีกิจการให้สืบทอดนั้นโชคดีแล้ว แต่มันก็มาพร้อมหน้าที่และความรับผิดชอบที่เขาต้องยอมรับให้ได้
การที่เขาเที่ยวเล่นไปวันๆนานกว่าปีก็ถือว่ามากพอแล้ว
“ก่อนไปไม่มีของอำลาให้สหายสนิทพ่วงกับฐานะลูกศิษย์อย่างข้าบ้างหรือ”
ไม่พูดเปล่า เหยียนเฟยแบมือดำๆตรงหน้าของทั้งสองด้วย แววตากระหายเงินของนางบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการอะไร
จื่อหานริมฝีปากกระตุกไม่หยุด เขาควักถุงเงินออกมาจากอกและโยนใส่มือของเหยียนจื่ออย่างแม่นยำ
“เอาสิ อย่างไรกลับตระกูลไปข้าก็คงมีเงินใช้ไม่ขาดอยู่แล้ว”
เหยียนเฟยไม่เกรงใจจื่อหานมานานแล้ว นางรู้ว่าเงินสำหรับเขานั้นแค่เอ่ยปากก็วิ่งมาให้ใช้ถึงที่ ต่างจากคุณหนูที่ถูกทิ้งอย่างนางที่ต้องใช้เงินที่หามาเองซื้อทุกอย่างเพื่อดำรงชีวิต
“เช่นนั้นข้ายอมสละปิ่นไม้นี่ข้ารักนี่ให้เป็นของอำลาก็แล้วกัน ไว้เจอกันอีกคราเราเอาของสองสิ่งนี้มาแลกคืนดีหรือไม่?!”
นางจะหาเงินให้มากมาคืนเขา และเขาก็เอาปิ่นไว้นี่มาคืนนาง อย่างไรเหยียนเฟยก็ไม่คิดจะเอาเงินของเขามาโดยไม่ตอบแทนอยู่แล้ว เงินในถุงนี้วัดจากน้ำหนักดูแล้วไม่น้อยเลย น่าจะสามารถทำไปต่อยอดได้หลายทาง ส่วนปิ่นไม้ของนางที่จำนำไว้กับจื่อหานแม้นดูไร้ค่าแต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางมีและอยู่มาตั้งแต่นางมาเกิดใหม่ในร่างนี้
“อืม เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเก็บไว้เป็นอย่างดีก็แล้วกัน...”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินจากกันไปในทิศตรงข้าม
จื่อหานกลับไปรับผิดชอบในหน้าที่ ส่วนเหยียนเฟยก็กลับไปเผชิญหน้ากับความจริง
บ้านเดิมตระกูลเฉินมีครอบครัวดูแลไว้ พวกเขามีหน้าที่ดูแลเหยียนเฟยที่มารักษาตัวย่อมต้องได้เงินรายเดือนบ้างล่ะ
ทว่าเศษอาหารที่นางได้รับในแต่ละมื้อ ที่นอน เสื้อผ้าที่ใช้จนเปื่อยซ่อมแล้วซ่อมอีกเหล่านี้ ล้วนต่างจากตั้งใจรักษาคุณหนูคนหนึ่งให้หายเสียจริง
ดีที่ชะตาชีวิตของเหยียนเฟยผู้นี้ยังไม่ขาด นางอาศัยวาสนาได้พานพบทั้งผู้เฒ่าพิษและจื่อหานจึงมีชีวิตรอดจนทุกวันนี้
“นั่นคุณหนูรองไปไหนมา!! ป้าตามหาตั้งนาน ให้คนแก่เดินมากเพียงนี้ตั้งใจทรมานกันกระมัง ผ้าห่มที่คิดจะเอามาเปลี่ยนให้ก็ไม่ต้องได้กันแล้ว หา...”
“หาข้าทำไม?”
ก่อนฟังสตรีเสียงแหลมตรงหน้าพร่ำจนจบเสียงทุ้มนิ่งของเหยียนเฟยก็ดังแทรกก่อน ไม่ว่าจะน้ำเสียง หรือท่าทางล้วนต่างจากตอนที่อยู่กับจื่อหานทั้งสิ้น
“เหอะ จะอย่างไรอีกเล่า! ตระกูลเฉินจากเมืองหลวงส่งคนมารับท่านกลับไป หากไม่รีบไป ถูกตำหนิข้าไม่เกี่ยวด้วยนะ!...นะ...”
ไม่รอให้สตรีวัยกลางขี้บ่นเอ่ยจบร่างบอบบางในชุดเก่าซีดก็เดินมุ่งไปยังหน้าเรือนหลักเสียแล้ว
และนี่ก็เป็นวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่ในห้องซอมซ่อแห่งนี้
คุณหนูรองไร้บุพการีเช่นนางถูกบ่าวรับใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าจับขึ้นรถม้าอย่างไว รีบร้องราวมีใครกำลังใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น
เหยียนเฟยยังไม่ทันเขียนจดหมายแจ้งบอกผู้เฒ่าพิษนางก็จากบ้านนอกมาแล้ว
การเดินทางจากมณฑลบ้านนอกมุ่งสู่เมืองหลวงใช้เวลานับสิบวัน ตลอดทางมาไม่พักนานให้เสียเวลาเลย แวะเพียงให้ม้าหายเหนื่อย คนขับรถม้าก็เพียงเปลี่ยนเวร หากเหยียนเฟยไม่บังเอิญไปได้ยินที่บ่าวสตรีที่มารับนางเอ่ยคุยกับบ่าวด้วยกันคงไม่รู้เรื่องราวอันใด
ตระกูลเฉินในตอนนี้ผลัดเปลี่ยนประมุขตระกูลเป็นท่านอารองน้องชายของบิดาของเหยียนเฟยมาสักพักแล้ว เพราะท่านปู่ หรือประมุขผู้เฒ่าป่วยและตายจากไป ส่วนบิดาของนางก็ตายในสงคราม ตอนนี้ผู้เฒ่าหนึ่งเดียวในตระกูลอย่างท่านย่าก็กำลังป่วยหนัก นางเอ่ยปากอยากพบหลานอีกคนก่อนตาย พร้อมกับแบ่งสมบัติตระกูลให้หลังจากนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลให้เหยียนเฟยถูกรับกลับมาเมืองหลวงเช่นตอนนี้
“อีกไม่ไกลก็ใกล้เข้าประตูเมืองหลวงแล้ว คุณหนูรองคงไม่ลืมบุญคุณของบ่าวที่ดูแลท่านอย่างดีมาตลอดทางกระมัง”
บ่าววัยกลางคนเอ่ยอย่างคนเหนือกว่า ทว่าในใจนางคงรู้ตัวถึงความสั่นคลอนในความมั่นคงของตนบ้างนั่นแหละ แม้นตนจะเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของผู้เป็นใหญ่ในตระกูลอย่างฮูหยินผู้เฒ่าแต่อีกไม่นานเจ้านายก็จะตายจากแล้ว จึงอยากหาประโยชน์จาก
เหยียนเฟยบ้างกระมัง ทว่าดูจากท่าทีก็ไม่คิดว่าคุณหนูรองไร้บุพการีจะเป็นทางรอดของตนได้เช่นกัน จึงแค่เปรยทั้งไว้เผื่อเลือกเท่านั้น
เหยียนเฟยไม่รู้ว่าอนาคตของตนว่าจะเป็นเช่นไร ทว่าการที่นางถูกรับมาเช่นนี้ นางย่อมต้องได้รับส่วนแบ่งไม่มากก็น้อยนั่นแหละ หากได้น้อยก็ถือว่ายังดีที่มีมาช่วยลงทุนได้บ้าง หากได้มากก็ดีไป
แต่ที่แน่ๆบ่าววัยกลางคนตรงหน้าไม่ใช่บุคคลที่น่าเอามาเป็นพวกด้วย
เหยียนเฟยปลายตามองชั่ววาบก็เมินหน้าออกสู่หน้าต่างบานเดียวในตัวรถไม่สนใจคำพูดใดอีก อดีตCEOสาวอย่างนางไม่เชื่อคำพูดใครไม่ไว้ใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกคนใกล้ชิดทรยศนั้นเป็นบทเรียนอย่างดี
“ข้างหน้าเหมือนจะมีขบวนคนใหญ่คนโตแทรกแถวเสียแล้ว พวกเราคงได้เข้าเมืองช่วงบ่ายขอรับ”
สารถีตะโกนแจ้งเหล่าเจ้านายข้างใน ตอนนี้รถม้าหยุดเคลื่อนตัวลง สองข้างทางมีผู้คนชาวเมืองเดินสวนทั้งขาเข้าขาออกไม่ขาดสาย
เหยียนเฟยที่นั่งมองออกไปข้างนอกผ่านม่านสังเกตสถานการณ์ได้พักหนึ่งแล้ว จากการรวบรวมคำพูดของหลายคนที่เดินผ่านซึ่งต่างเอ่ยถึงสิ่งเดียวกันก็คือขบวนที่เป็นต้นเหตุให้การจราจรตอนนี้หยุดชะงักนั่นเอง
คำศัพท์ใหม่ที่เหยียนเฟยเคยได้ยินคราแรกสร้างความน่าตื่นตาจนอยากรู้เสียแล้ว
พวกเขาต่างพากันพร้อมใจหยุดให้ขบวนที่นำโดย ทรราช แห่งแคว้น เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอย่างสะดวกสบาย
นางสงสัยว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นทรราชนั้น เขาทำอันใดถึงถูกตราหน้าด้วยคำร้ายแรงเช่นนี้ ทว่าแม้นถูกเรียกว่าทรราชแต่ชีวิตเขาก็ยังดีกว่าคนที่ถูกเรียกว่าคุณหนูรองอย่างนาง มิใช่หรือ...
