บทนำ
ท่ามกลางรถม้า รถเทียมวัววิ่งแล่นบนถนนลัดเลาะไปตามเส้นทาง
ท่ามกลางผู้คนเดินขวักไขว่จับจ่ายใช้สอยปัจจัยสี่เพื่อนำไปใช้ดำรงชีวิตตนและคนในครอบครัว
บนหลังคาแถบนั้นมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีวิ่งผ่านหลังคาแล้วหลังคาเล่า ไล่จับกันราวกำลังเล่นการละเล่นของเด็กน้อย ทว่าเป็นการละเล่นที่น่าหวาดเสียวไปเสียหน่อย หากก้าวพลาดหัวอาจฟาดพื้นสิ้นสุดชีวิตเลยก็เป็นได้
“นี่จื่อหาน! หากเจ้าไม่อ่อนข้อให้สตรีเช่นนี้ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าอีกแล้วนะ!!!”
เสียงเด็ดขาดดังออกมาจากสตรีที่วิ่งตามมาข้างหลังห่างจากบุรุษด้านหน้าเพียงสองช่วงแขน
แม้นางจะพูดเช่นนั้นแต่ฝีเท้าก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด มีแต่ตั้งใจเร่งความเร็วสับเท้าให้ไวขึ้นด้วยซ้ำไป
มีแต่บุรุษในชุดสีกรมเรียบง่ายที่เริ่มเบาฝีเท้าลงในหัวคิดว่าตนควรทำตามคำเอ่ยร้องขอเมื่อครู่ดีหรือไม่ เพราะนานๆทีนางจะเอ่ยร้องขออะไรเขามาเช่นนี้
ยังไม่ทันคิดจบร่างหนาในชุดสีกรมก็ถูกมือเรียวและแขนเปื้อนฝุ่นจนดำแทบไม่เห็นสีผิวของจริง จับไว้และกระชากกลับไปเสียแล้ว ลมบางเบาห่าหนึ่งไหวผ่านข้างตัวทางฝั่งที่ถูกรั้งไว้ สตรีในชุดสีน้ำตาลซีดวิ่งผ่านนำหน้าไปแล้ว
หลังคาสุดท้ายที่พวกเขาตกลงไว้ว่าเป็นเส้นชัยจากใกล้แค่เอื้อมกลับกลายเป็นไกลขึ้นพริบตา
ร่างเพรียวบางในชุดเก่าขาด เท้าแตะหลังคาสุดท้ายได้ก็หมุนตัวกลับมาส่งยิ้มแฉ่งกอดอกเชิดหน้าทันใด
“อาจารย์แพ้ลูกศิษย์เสียแล้ว...ช่างหน้าขายหน้านัก”
สุ้มเสียงรื่นหูไหลมาตามลมทำให้บุรุษที่ถูกเรียกว่าอาจารย์แต่มาแพ้ศิษย์ที่ตนพร่ำสอนวิชาตัวเบาเองกับมือไม่รู้สึกเสียหน้า เขาวิ่งมาหยุดตรงหน้าของสตรีเปื้อนผงสีดำคุ้นตาก่อนเอื้อมแขนไปโอบไหล่นางและพาเดินตรงไปเยี่ยงสหายสนิทแทน
“หากเจ้าไม่ใช่เล่ห์กลของสตรี ฝีเท้าเชื่องช้าเช่นเจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก”
สตรีในชุดเก่าหุบยิ้มทันใด แต่ก็มีสีหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ปิดบัง สตรีที่เพิ่งหายจากอาการป่วยและมีร่างกายแข็งแรงผู้นี้ฝึกเรียนวิชาตัวเบาจากสหายต่างเพศด้านข้างมาได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น มีฝีเท้าเพียงนี้พอให้ใช้หนีเอาตัวรอดได้ก็เพียงพอแล้ว
วิญญาณของนางมิใช่คนยุคนี้แต่ตายจากยุคในอนาคตหลายพันปีแล้วมาเกิดใหม่ในร่างสตรีที่ป่วยตายเพราะขาดสารอาหารและมีโรครุมเร้าได้อย่างไรไม่รู้
ร่างนี้เป็นคุณหนูตระกูลเฉิน นามเหยียนเฟย
เดิมตระกูลเฉินตั้งรกรากที่มณฑลบ้านนอกแห่งนี้ นับแต่รุ่นปู่และบิดาของนางมีความสามารถจนสอบเข้าไปเป็นขุนนางได้ ย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองหลวงไป แต่ที่เหยียนเฟยได้กลับมาที่บ้านนอกอีกเป็นเพราะบิดาและมารดาของนางตายหมดแล้ว บุตรสาวหนึ่งเดียวอยู่ในการดูแลของปู่ย่าก็ว่าน่าอนาถพอตัว ที่อยู่ได้อย่างมั่นคงเพราะยังมีสัญญาหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทของแคว้นเนื่องจากมารดามาจากตระกูลหลิว ตระกูลเก่าแก่ที่ย้ายกลับบ้านเดิมเช่นกันแต่มีสายสัมพันธ์กับฮองเฮา พอมารดาตายจากไปฮองเฮาก็รีบใช้เหตุผลเหยียนเฟยร่างกายออกแอถอนหมั้นทันที
เมื่อสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวถูกตัดขาด ในที่สุดเหยียนเฟยก็ถูกส่งมารักษาตัวที่บ้านนอกแห่งนี้
นึกดูแล้วกันว่า ผู้ดูแลบ้านเดิมตระกูลเฉินช่วยรักษาตัวอย่างไรทำให้เหยียนเฟยคนเดิมจากไปเมื่อสองปีที่แล้ว...
เหยียนเฟยผู้นี้จึงได้โอกาสเกิดใหม่ในร่างนี้ ไม่รู้ว่าควรยินดีที่ตนไม่ต้องลงไปชดใช้กรรมในนรกก่อนกลับมาเกิดใหม่ หรือควรเสียใจดีที่เกิดใหม่ทั้งทีชีวิตไม่ต่างจากเดิมมากนัก
ชาติก่อนนางมีนามว่าเหยียนเฟยเช่นกัน แต่เป็นสกุลจ้าวมิใช่สกุลเฉิน ในยุคสมัยนั้นเต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ต่างจากยุคนี้โดยสิ้นเชิง ทว่าจ้าวเหยียนเฟยเกิดมาไม่รู้แม้กระทั่งหน้าตาของบิดามารดาด้วยซ้ำ นางรู้เพียงว่าบ้านของนางคือสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าซอมซ่อแห่งหนึ่ง นางต้องอาศัยทำตนเองให้โดดเด่นเพื่อแย่งชิงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาจากคู่สามีภรรยาใจบุญคู่หนึ่ง เรียนจบมาเริ่มทำงานหามรุ่งหามค่ำ เก็บเงิน สะสมประสบการณ์ เมื่ออายุเข้าเลขสี่จึงสามารถเปิดบริษัทของตนเองได้ กลายเป็นCEOใหญ่ที่ผู้คนมากมายนับหน้าถือตาได้ไม่นานก็ป่วยตายด้วยโรคกระเพาะและหัวใจวายเฉียบพลัน
สิ่งเดียวที่จ้าวเหยียนเฟยเสียดายในชาติที่แล้ว
ไม่ใช่การที่นางเกิดมาไร้คนดูแล ไร้บุพการี
แต่คือนางมีเงินมีอำนาจแล้วยังไม่ได้ใช้เลยต่างหาก!
ชาตินี้แม้นโชคชะตาจะเล่นตลกส่งนางมาเกิดในร่างคุณหนูแสนอาภัพ แต่เฉินเหยียนเฟยผู้นี้ก็จะเป็นผู้สร้างทุกอย่างให้ตนเองด้วยมือน้อยๆคู่นี้
และชาตินี้ต้องต่างออกไป นางจะต้องได้ใช้ชีวิตของตนอย่างที่อยากใช้ด้วย...
“นี่อาเฟย เจ้าเหม่ออันใด ข้าพูดไปเมื่อคู่เจ้าได้ฟังบ้างหรือไม่”
ตอนนี้หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษลงจากหลังคามาเดินบนถนนปกติแล้ว สายตาว่างเปล่าของเหยียนเฟยที่หันมองบ่งบอกได้เป็นอย่างที่ดีว่านางไม่ได้ฟังที่เขาพูดเมื่อครู่เลย
“เจ้าพูดใหม่อีกครารับรองข้าจะตั้งใจฟังเป็นอย่างดี...”
กัว จื่อหานถอนหายใจแรงพรูหนึ่ง ก่อนเอ่ยสั้นและกระชับอีกรอบ
“ข้าฝากเจ้าแวะไปเล่นกับท่านผู้เฒ่าพิษด้วย หลังจากนี้ข้าคงมิอาจปรีกตัวมาได้บ่อยนัก...”
“บิดาเจ้ายื่นคำขาดแล้วกระมัง หากเจ้าลูกหมายังไม่กลับไปศึกษาการดูแลกิจการอีก ทรัพย์สมบัติของข้าผู้เป็นบิดาจะมอบให้เด็กขอทานทั้งหมด ส่วนเจ้าก็ไปเป็นขอทานแทนก็แล้วกัน! ฮ่าฮ่า ข้าเดาถูกหรือไม่?”
เหยียนเฟยมองสีหน้าดำทมึนของสหายต่างเพศแล้วรีบหุบยิ้มทันใด ให้ทายว่านางต้องเดาถูกกว่าห้าส่วนแน่
“ก็ทำนองนั้น ข้าหมดเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงแล้ว...”
สีหน้าเศร้าของจื่อหานไม่ทำให้เหยียนเฟยสงสารหรอก ตามจริงชีวิตของจื่อหานออกจะเป็นที่น่าอิจฉา
บุตรชายหนึ่งเดียวตระกูลกัว พ่อค้าร่ำรวยอันดับหนึ่งของแคว้น หากกัวจื่อหานไม่ป่วยจนเกือบไปเหยียบยมโลกก็คงไม่ต้องมาพึ่งท่านผู้เฒ่าพิษให้ช่วยรักษาให้หรอก ส่วนเหยียนเฟยหากไม่บังเอิญท่านผู้เฒ่าพิษต้องการร่างสตรีมาทดสอบพิษที่เขากำลังปรุง นางก็คงไม่กลับมามีร่างกายแข็งแรงเช่นกัน
เช่นนั้นเขาและนางก็คงไม่ได้โอกาสพบกันเช่นนี้...