บทที่ 9 วันสิ้นปีเหมือนสิ้นใจ
เวลาผ่านไปเร็วก็สิ้นปีแล้ว เหยียนเฟยเดินออกมานอกเรือนก็พบว่ามีเกร็ดหิมะตกลงจากฟากฟ้าต้อนรับปีใหม่พอดี เสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวหลายตัวถูกส่งให้เหล่าเจ้านายในเรือนครบแล้ว
เหยียนเฟยก็ได้แล้วเช่นเดียวกัน เครื่องเรือนบางชิ้นที่ควรได้รับก็ได้รับแล้วเช่นกัน
สิ่งที่ควรทำเมื่อถึงสิ้นปีอาสะใภ้รองก็จัดการได้ดี เดินในจวนทีมีโคมอันใหญ่สีแดงประดับงดงาม
หากไม่ติดว่าอยากฮุบสมบัติของคนอื่นไป อาสะใภ้รองก็ถือว่าเป็นฮูหยินประมุขที่ดีคนหนึ่งเลย...
วันนี้ก่อนสิ้นปีทุกครอบครัวในตระกูลเฉินจะมีทานข้าวร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนจัดงานเลี้ยงฉลองปีใหม่อีกครา
เหยียนเฟยเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินนำสองบ่าวไปที่เรือนใหญ่ ไปยังห้องอาหารรวม ในเวลาอาหารกลางวันพอดี
“คารวะอารอง อาสาม อาห้าเจ้าค่ะ คารวะพี่ใหญ่ คารวะอาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม อาสะใภ้ห้าเจ้าค่ะ...”
หลังจากนั่งประจำที่แล้วก็ไล่คารวะตามลำดับขั้นจนเสร็จสิ้น เหยียนเฟยนั่งอยู่เดี่ยวๆไม่มีคนนั่งข้างเคียง เพราะครอบครัวแต่ละคนก็นั่งใกล้กันประมาณหนึ่ง ครอบครัวอารองที่เป็นประมุขตระกูลก็มีนางคั่นอยู่ ถัดไปก็เป็นครอบครัวอาสามและอาสี่ แม้นเรียกว่านั่งร่วมโต๊ะกันแต่ความแบ่งแยกก็มีอยู่อย่างเห็นชัดอยู่ดี
คุณหนูรองที่ไร้บุพการีไร้พี่น้องท้องเดียวกัน ย่อมต้องนั่งอยู่คนเดียว ไม่แปลกอันใด
“อาเฟย เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่?”
หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จแล้วใครจะคิดเล่าว่าประมุขของตระกูลอย่างอารองจะไม่ทักบุตรสาวของตน แต่มาทัก
เหยียนเฟยที่เป็นหลานเสียได้
“หลานหลับสบายดีเจ้าค่ะ อารองทำงานหนักก็อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ”
จะว่าเหยียนเฟยประจบก็ว่าได้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางพยายามเข้าหาอารองผู้นี้ ทำให้เกิดความผูกพันขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยนางก็ได้ความรู้หลายอย่างจากอาผู้นี้จริงๆ จนทำให้ชีวิตในจวนนี้น่าเบื่อน้อยลงไปมาก
แต่เหยียนเฟยก็ยังไม่ลืมหรอกนะว่าเขาก็เป็นเพียงญาติ ที่อารองทำดีกับนางย่อมเป็นผลมาจากสิ่งนั้นที่เหยียนเฟยให้ไปเกิดประโยชน์กับเขาดังคาดนั่นล่ะ
“อาของเจ้าได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นรองเจ้าสำนักศึกษาย่อมต้องมีงานหนักอยู่แล้ว คุณหนูรองมิต้องเป็นกังวลแทนหรอก ให้นายท่านได้มีเวลาพักผ่อนมากหน่อยก็พอแล้วล่ะ”
หยางเชาหลิน หรืออาสะใภ้เอ่ยพร้อมส่งยิ้มแย้มสดใสให้ ทว่าในคำพูดนั้นก็เหมือนเอ่ยเตือนเหยียนเฟยกลายๆว่า หากนางไม่ไปยุ่งกับเขาย่อมมีเวลาพักผ่อนมากกว่านี้แน่!
“ช่วงนี้หลานสนใจการเขียนอักษรมากไปหน่อย คงรบกวนท่านอามากกระมัง หลานต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
อารองส่ายหน้าเบาๆ ให้
“ไม่เลย หากอาเฟยอ่านตำราที่อาให้ไปแล้วสงสัยตรงไหนก็มาถามอาหรือถ้าเจ้าใหญ่ได้ เป็นสตรีใฝ่เรียนเป็นการดี...”
“ขอบคุณท่านอารองเจ้าค่ะ รบกวนพี่ใหญ่ด้วย...”
“เห็นอาเฟยชอบอ่านตำราก็ดีใจไป ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเบื่อที่อยู่แต่จวนเสียแล้ว”
คราวนี้พอมีจิ้งหลินเอ่ยร่วมสนทนาเพิ่มมา ความอดทนของสตรีที่คิดว่าตนควรได้สิ่งเหล่านั้นอย่างเป่าหลิงก็หมดความอดทนลง
“พี่รองอยู่บ้านเดิมมาตั้งนานมิคิดว่าอยู่ดีดีจะมาชอบอ่านตำราเขียนอักษรนะเจ้าคะ ข้าเรียนจนครบแล้ว ยังไม่เห็นมีสิ่งไหนน่าสนใจเลย สตรีอย่างเรามิสู้เรียนพอรู้แล้วมาตั้งใจเรียนอย่างอื่นเพื่อไว้สำหรับเตรียมออกเรือนไปเป็นที่เชิดหน้าชูตาบ้านสามีมิดีกว่าหรือเจ้าคะ ใช่ไหมเจ้าคะท่านแม่?”
“เป็นเช่นนั้น เอาเป็นว่าหลังจากนี้คุณหนูรองมาเรียนปักผ้าและบรรเลงพิณกับน้องสามจะดีกว่านะ เดี๋ยวอาสะใภ้ช่วยจัดการให้”
ในยุคนี้สตรีมิควรมีความรู้มากเป็นที่นิยมยิ่ง เพราะพอแต่งเข้าบ้านสามีไปแล้วต้องปรนนิบัติรับใช้บ้านสามี ไม่ต้องออกไปทำงานหาเงินใช้เองอย่างชาติก่อน ทำเช่นสตรีสองนางเอ่ยไม่ผิด..
ทว่าสตรีที่มาจากยุคสองพันอย่างเหยียนเฟยนั้น นางไม่คิดอยู่เฉยรอให้บุรุษเพศหาเงินมาให้ใช้ ส่วนตนเฝ้าแต่บ้านไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกหรอก นางต้องพยายามหาความรู้ที่ตนขาดของยุคนี้ เพื่อให้ประยุกติ์กับประสบการณ์เป็นบอสสาวที่ผ่านมาในชาติแล้วของตน สร้างชีวิตสตรีแสนแกร่งให้ได้
เมื่อนางหาเงินเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจหรือพะเน้าพะนอบุรุษอย่างอาสะใภ้รองหรือสตรีอื่นใดในยุคนี้แล้ว
“ขอบคุณความหวังดีของอาสะใภ้มากเจ้าค่ะ แต่หลานไม่สนใจอย่างน้องสามเสียเท่าไหร่ หลานชอบอ่านตำราเหล่านั้นมากกว่า
...อีกอย่างสิ้นปีแล้ว ใกล้เริ่มปีใหม่อาสะใภ้รองย่อมมีงานมากจนล้นมือ หลานมิอยากให้อาสะใภ้เหนื่อยมากขึ้นเจ้าค่ะ”
“อาสะใภ้ทำเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ไม่ลำบากอันใดหรอก...”
เหยียนเฟยหยักยิ้มมุมปากชั่ววาบหนึ่งค่อยกลับมาทำสีหน้าฉงนพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างคนแปลกใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา