บทที่ 7 โอกาสเหมาะในเทศกาลล่าปา
อากาศเปลี่ยนจากเย็นสบายเป็นหนาวจัดจนต้องสวมชุดให้หนาขึ้นแล้ว แน่นอนว่าคุณหนูรองตระกูลเฉินอย่างนางย่อมต้องมีชุดใหม่ส่งมา อาสะใภ้รองดูแลอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง
ตอนนี้เดือนสิบสองแล้วหิมะแรกของปียังไม่ตก แต่อากาศหนาวเช่นนี้คาดว่าอีกไม่กี่วันแน่ นอกจากต้องเปลี่ยนชุดให้หนาขึ้นแล้วยังต้องมีเตาพกคนละอันไม่ขาดมืออีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ ไม่ให้บ่าวไปจริงหรือเจ้าคะ เอาเจียวเหมยไปมีแต่จะขายหน้านะเจ้าค่ะ นางพูดอันใดไม่รู้เรื่องใช้การไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่เหยียนเฟยแต่งตัวยันทำผมทรงเรียบง่ายเสร็จ ซูเหมยยังไม่หยุดพูดเรื่องนี้เลย ขนาดจะก้าวเท้าออกจากห้องแล้วยังตามมายืนดักหน้าประตูไม่ให้นางออกไปง่ายๆ
“เจียวเหมยเจ้าเอาของที่ข้าบอกให้เตรียมไปแล้วใช่หรือไม่”
เจียวเหมยเดินขึ้นหน้ามาก้มหน้านิ่งก่อนเอ่ย
“ถุงมือหลายๆคู่ใช่ไหมเจ้าคะ เตรียมแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี อย่างไรไปวัดครานี้มิใช่เพียงไปทำบุญไหว้พระอย่างเดียว จุดประสงค์หลักคือไปทำข้าวต้มล่าปาแจกจ่ายให้เหล่าคนไร้บ้าน หากเจ้าใส่ถุงมือบางๆเคี่ยวข้าวต้มไม่พัก ท่ามกลางอากาศหนาวเช่นนี้ได้มือแตกจนอาบน้ำทีก็แสบได้ ไหนจะต้องทนยืนกลางแดดตักข้าวต้มจนหมดหม้ออีกล่ะ อย่าลืมกินข้าวไปให้มากจะได้มีแรงยืนทั้งวันไม่เป็นลมหมดแรงไปเสียก่อน...”
วันนี้นางและเหล่าสตรีตระกูลเฉินจะออกเดินทางไปวัดเพื่อฉลองเทศกาลล่าปากับตระกูลอื่นด้วยการทำข้าวต้มและทำทานไปด้วย หากนางเอาบ่าวที่ดีแต่ปาก ไม่ทนแรงอย่างซูเหมยไปย่อมเหนื่อยที่นางแน่
เช่นนั้นจึงแสร้งคุยกับเจียวเหมยเช่นนี้ดูซิว่าคนรักสบาย
ขี้เกียจสันหลังยาวเช่นซูแหมยจะยังรบเร้าอยากไปอีกหรือไม่
แต่ดูจากสีหน้าเหยเกพร้อมถอยหลังจากการขวางทางออกนี้ก็พอจะได้แล้ว
“โอ เช่นนั้น บ่าวขอให้คุณหนูเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ ในส่วนเรือนนี้บ่าวจะดูแลให้เป็นอย่างดีเองเจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวเดินออกมาจากเรือนของตนมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่จอดรถม้าของจวน ด้วยความที่ยามนี้ฟ้ายังมืดอยู่น่าจะยังไม่พ้นยามยามอิ๋น เวลาทำอะไรต้องเบาเสียงหน่อย เหล่าคุณหนูของจวนรวมถึงอาสะใภ้ตระกูลเฉินเดินมาขึ้นรถกัน โดยไม่ทักอันใดให้เกิดเสียงด้วยซ้ำ
การเดินทางครั้งนี้เหยียนเฟยถูกแยกให้นั่งรถมาคันเล็กคนเดียว เพราะส่วนใหญ่มารดากับบุตรก็นั่งด้วยกัน ส่วนบุรุษที่โตพออย่างจิ้งหลินก็ขี่ม้าไป ซึ่งนางค่อนข้างชอบจุดนี้ด้วยซ้ำ เพราะแผนที่วางไว้ตอนขากลับจะได้คล่องตัวหน่อย
วัดม้าขาวตั้งอยู่ขอบของเมืองทางตะวันออก เดินทางบนถนนราบได้เลย เพียงแต่ไกลจากจวนตระกูลเฉินหน่อยเท่านั้น ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามก็มาถึง
บุรุษที่มาด้วยส่วนใหญ่รับหน้าที่คุมเหล่าองครักษ์มาระหว่างทาง พอถึงวัดก็มักไปพักผ่อนตามอัชฌาสัยได้เลย ส่วนสตรีต้องเข้าครัวเคี่ยวข้าวต้มล่าปาตามสูตรของแต่ละตระกูล รอเช้าจนถึงเที่ยงก็รอให้คนไร้บ้าน ต่อแถวมารับข้าวต้มพร้อมของบริจาคเป็นอันเสร็จสิ้น
ช่วงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น เหล่าคุณหนูและฮูหยินมักไม่ค่อยอยู่ช่วยในครัวที่ทั้งร้อนและเหม็นเท่าใดนัก มักสั่งให้บ่าวรับใช้ที่ตนพามาด้วยให้เป็นผู้จัดการลงมือทำข้าวต้มล่าปา พอถึงเวลาแจกจ่ายค่อยเตรียมตัวให้พร้อม
ในช่วงเวลานี้เหล่าเจ้านายฝ่ายสตรีมักไปรวมตัวที่ศาลาของวัด นั่งสมาธิ ฟังพระสวด และสนทนาเรื่องทั่วไปกันมากกว่า
หากเบื่อก็ออกมาเดินเล่นรอบวัดสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ แต่ต้องทนหนาวหน่อยเท่านั้น ซึ่งเหยียนเฟยไม่ใช่คนกลัวหนาว นางแอบออกมาข้างนอกในช่วงที่เหล่าอาสะใภ้ตระกูลเฉินเข้าร่วมวงสนทนาไปแล้ว ส่วนใหญ่พวกนางไม่พูดเรื่องตระกูลอื่นที่ไม่มาในวันนี้ก็พูดเรื่องบุตรสาวตนเองหวังหาสามีให้นั่นล่ะ
เหยียนเฟยเดินสำรวจรอบวัดเข้ารอบที่สอง ไม่คิดว่าในรอบนี้นางจะเจอละครฉากเด็ดเข้าแล้ว
หากหนึ่งในตัวละครนั้นไม่ใช่สกุลที่นางคุ้นชื่อก็คงไม่หยุดดูเช่นนี้แน่...
“คุณหนูเซี่ยเรียกข้าออกมาทำไมหรือ?”
บุรุษผู้หนึ่งมองสตรีตรงหน้าที่ถูกเรียกแทนว่าคุณหนูเซี่ยด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่เห็นได้ชัดในสายตาของเหยียนเฟย หากนางเป็นคุณหนูเซี่ยถูกมองเช่นนี้ย่อมรู้สึกไม่สบายใจแน่
เซี่ยซินหงถอยหลังหนึ่งก้าวเนื่องจากบุรุษตรงหน้าก้าวเข้าใกล้ตนเกินไปก่อนเอ่ยตอบเสียงเบา
“ข้าต้องการคุยกับซื่อจื่อ เรื่องสัญญาหมั้นหมายเจ้าค่ะ”
“ว่ามาสิ”
น้ำเสียงของฝ่ายบุรุษเริ่มมีเคล้าความไม่พอใจบางอย่างแล้ว
“ข้านั้นแม้นมีพี่ชายที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องแต่ก็มิได้สนิทกันเท่าใดนัก คิดว่าตระกูลเซี่ยของเราไม่คู่ควรกับตระกูลชิวโดยเฉพาะกับซื่อจื่ออย่างท่านเจ้าค่ะ จึงอยากให้คุณชายเซี่ยเช่นท่านได้โปรดถอนหมั้นออกไปด้วยเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าเหตุผลที่คุณหนูตระกูลเซี่ยกล่าวมา ผนวกกับข่าวลือที่ว่าเซี่ยเจ๋อรุ่ยแยกจวนออกไปอยู่คนเดียวทั้งที่ยังไม่แต่งภรรยา ก็ดูเข้าทีบ้าง
คนนอกอย่างเหยียนเฟยที่กำลังเบื่อๆก็ขอแอบฟังเสียหน่อย นางไม่ได้คิดจะไม่คิดยุ่งเกี่ยวแต่นางฟังผ่านเข้าหูแล้วสมองก็อดคิดตามไปด้วยไม่ได้เท่านั้น
เดาว่า คำตอบย่อมเป็น...
“เรื่องนี้มารดาของข้าตัดสินใจแล้ว เหลือเพียงรอเจ้าออกจากการไว้ทุกข์ และเตรียมให้หลวงพ่อวัดบนเขาช่วยดูฤกษ์ยามสมรสเท่านั้น ข้าแม้นเป็นซื่อจื่อไม่ถือสา หากจะลดเกียรติแต่งกับคุณหนูเซี่ยที่งดงามเช่นนี้หรอก”
เหยียนเฟยพยักหน้า นางชอบใจในความบ้ายอของเขา อย่างไรหัวคิดของผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นซื่อจื่อ ให้นางทายเขาย่อมเป็นบุตรชายคนเดียวอีกทั้งยังโตสุดด้วยแน่ มองแล้วไร้สง่าราศีของคนผ่านอุปสรรคและถูกคนขัดเกลาจนได้ตำแหน่งซื่อจื่อจากการแย่งตำแหน่งกับพี่น้อง ทว่าได้บรรดาศักดิ์มาอย่างมั่นคง
หากเหยียนเฟยเป็นคุณหนูเซี่ยย่อมไม่อยากออกเรือนให้บุรุษเช่นนี้เหมือนกัน
ทว่าเหตุของคุณหนูเซี่ยยังไม่สามารถทำลายสัญญาหมั้นหมายได้เท่านั้น เหยียนเฟยยืนอยู่ตรงนี้ขอแอบส่งกำลังใจให้ฝ่ายที่ตนเข้าข้าง
“เอ่อ ตามจริงแล้วไม่ใช่เพียงเหตุผลนั้นหรอกเจ้าค่ะที่ทำให้ข้าเรียกท่านมาที่นี่ตอนนี้”
“หือ เช่นนั้นแล้วเหตุผลอันใดล่ะ?”