บทที่ 6 คุณหนูรองหนีออกจากจวน
เหยียนเฟยเริ่มปฏิบัติการตรวจสอบทรัพย์สินของตนแล้ว นางเริ่มที่สินเดิมของมารดาจำพวกร้านค้าก่อน เพราะในมือของนางมีรายชื่อร้านที่มารดาเป็นเจ้าของอยู่ ส่วนเรื่องบัญชีของร้านอยู่ในมือของอาสะใภ้ทั้งหมด นางได้เห็นบางส่วนจากการที่แม่นมมาสอนทำบัญชีเท่านั้น
โดยเหยียนเฟยแอบติดไปกับรถเทียมวัวขนขยะของจวนที่มักออกไปทุกเช้า ส่วนขากลับนั้นนางจะนัดหมายให้เจียวเหมยเปิดประตูข้างหลังให้นาง ขอแค่มาให้ทันเวลาที่เป็นช่วงรอยต่อเปลี่ยนเวรองครักษ์เฝ้าประตูเท่านั้น
พอออกมาได้ระยะหนึ่ง รอบข้างมีเสียงผู้คนสนทนาและเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า เหยียนเฟยก็อาศัยจังหวะรถม้าหยุดรอคนข้ามถนนกระโดดลงมาทันใด
ตัวที่เหม็นขยะนิดหน่อยทำเอาเจ้าของชุดหน้าเบ้ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ขัดขวางนางไปยังเป้าหมายของวันได้
ด้วยความที่เหยียนเฟยออกมาถนนในเมืองเป็นคราแรกนางจึงใช้เวลาจับทิศทางอยู่นาน มีถามคนรอบข้างบ้างจนกระทั่งเดินหาร้านของมารดาเจอครบ
นางเข้าไปสำรวจแต่ร้านดูในฐานะลูกค้า ถามเรื่องทั่วไปกับเสี่ยวเอ้อบ้าง ไม่ว่าจะเป็นร้านขายชุดหรือเครื่องประดับ หรือร้านขายเครื่องหอมของมารดาล้วนมียอดการขายไปในทิศทางเดียวกันคือ ขายได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำไรมากโขจนเจ้าของร่ำรวยได้
สาเหตุหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในสายตาของผู้บริหารเก่าอย่างเหยียนเฟยคือ แต่ละร้านล้วนมีสินค้าซ้ำจำเจกับร้านอื่น แนวโน้มออกจะล้าสมัยกว่าด้วย หาความแปลกใหม่ไม่ได้เลย ที่ยังเปิดแล้วได้กำไรอยู่น่าจะเป็นเพราะลูกค้าเก่าที่สั่งเป็นประจำมาหลายสิบปีมากกว่า นางถามลูกจ้างร้านหนึ่งจนได้ความว่าหลงจู๊พวกเขาเคยกระตือรือร้นที่จะพัฒนาร้านแต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้านายที่ให้เงินทุนก็ไม่เคยลงเงินมาสนับสนุนเลย ร้านพวกเขาจึงขายตามมีตามเกิดเช่นนี้มาตลอดนั่นเอง
หลายวันมานี้อาสะใภ้รองส่งแม่นมคนสนิทที่มีความรู้เรื่องการทำบัญชีมาสอนเหยียนเฟยตามที่ให้สัญญา นางจึงพอได้เห็นบัญชีของร้านในสินเดิมมารดาบ้าง มีบางส่วนที่ใส่ข้อมูลไม่ละเอียดด้วยซ้ำ นางแทบจะอดกลั้นตัวเองไม่ไหวอยากสอนงานให้เหล่าคนในยุคนี้ให้จัดการเอกสารอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เขียนบันทึกลงไปวันต่อวันโดยไม่เรียบเรียงสัดส่วนให้ดีเช่นนี้
ทว่าหากเหยียนเฟยทำเช่นนั้นมีแต่จะให้ปลาตื่น อาสะใภ้รองไหวตัวทัน นางต้องค่อยๆเก็บรวบรวมหลักฐานและจัดการทีเดียวให้ไม่สามารถดิ้นหลุดได้
ดูท่าแล้วร้านค้าในสินเดิมของมารดาเหยียนเฟยจะไม่ใช่แหล่งทำกำไรของอาสะใภ้ นางคิดว่าควรเริ่มเอาของกลุ่มนี้คืนมาเป็นอย่างแรก เพราะน่าจะง่ายที่สุด...
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ลอยอยู่กลางศีรษะแล้ว เหยียนเฟยคิดว่านางต้องหาอะไรลงท้องเสียหน่อย มองสองข้างทางแล้วก็ตัดสินใจฝากท้องไว้ที่ร้านบะหมี่เล็กๆ นางรีบเข้าไปนั่งตรงโต๊ะที่ว่างทันที โต๊ะหนึ่งมีเก้าอี้วางตรงข้ามกันหนึ่งคู่ พอเถ้าแก่หันมองก็ชูนิ้วขอบะหมี่ร้อนๆหนึ่งชาม
ด้วยความที่เจียวจินแต่งชุดสีเรียบจืดๆไร้เครื่องประดับใด นางจึงมีลักษณะไม่ต่างจากสตรีอายุน้อยลูกชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ไหนจะผิวกายสีคล้ำที่นางยังไม่คิดเสียเวลาแช่น้ำล้างสีสูตรเฉพาะอีกล่ะ ใครผ่านไปผ่านมาหากไม่เคยเห็นเหยียนเฟยมาก่อนย่อมหาได้รู้ว่านางคือคุณหนูตระกูลขุนนางไม่
ระหว่างที่เหยียนเฟยกินบะหมี่พร่องไปกว่าครึ่งชามแล้วนั้น อยู่ดีดีก็มีบุรุษวัยสามสิบปีในชุดเยี่ยงชาวยุทธทั่วไปแต่มองแล้วเหมือนแต่งกายไม่ทันเสร็จก็รีบออกมาข้างนอกมากกว่าคนหนึ่งมานั่งลงฝั่งตรงข้ามนาง สีหน้าไร้อารมณ์แต่สายตาเยียบเย็นส่งสัญญาณให้เหยียนเฟยเหลือบมองที่บริเวณหน้าอกของเขา ที่ใช้มือข้างหนึ่งแหวกให้เห็นว่าข้างในมีมีดอยู่
“กินไปนิ่งๆ อย่าได้กระโตกกระตาก มิเช่นนั้นเจ้าได้จบชีวิตลงทันทีแน่!”
ใครจะคิดเล่าว่าอยู่ดีดีก็ถูกขู่ฆ่ายามออกนอกจวนคราแรกเช่นนี้ แม้นในใจสั่นกลัวเพราะยังไม่อยากตาย แต่ใบหน้าก็ไม่แสดงออกไป นางก้มลงกินบะหมี่ที่จืดลงถนัดตาสายตาจ้องมองคนตรงหน้าไม่ละไปไหน
“เถ้าแก่ เมื่อสักครู่เห็นคนสวมชุดสีดำล้วน ใบหน้ามีรอยแผลเป็น วิ่งผ่านมาทางนี้หรือไม่!!”
บุรุษสองคนในชุดสีกรมคล้ายตำรวจท้องที่เดินผ่านมาแวะถามเถ้าแก่ร้านบะหมี่ที่เหยียนเฟยกำลังนั่งกินอยู่ ซึ่งคนตรงหน้าเหยียนเฟยนี้แหละคือคนพวกเขากำลังตามหาเพียงแต่ชุดสีดำของเขาถูดชุดสีอื่นคลุมตัวแล้ว
...ทว่านางเพียงเหลือบตามองก็ถูกคนถูกตามจับกระทืบเท้าเป็นการตักเตือนเสียแล้ว
ระยะจากตำรวจถึงนางไกลพอควร หากเหยียนเฟยตะโกนเรียกคิดว่ามีดตรงอกคงปาดคอนางก่อนพวกตำรวจมาถึงแน่
เช่นนั้นเหยียนเฟยคงต้องอยู่นิ่งๆรอจนพวกตำรวจไปคิดว่าบุรุษตรงหน้าคงลุกออกไปเองกระมัง
“น้องพี่ รีบกินให้หมดเถอะ เดี๋ยวพี่ชายจะพาเจ้าไปกินน้ำชาต่อ”
ไอ้โจรบ้า ไม่คิดจะปล่อยเหยียนเฟยไปน่ะสิ!
ในระหว่างที่หัวสมองกำลังทำงานหนักคิดแผนเอาตัวรอดจากการถูกจับเป็นตัวประกัน จนในที่สุดอาจถูกฆ่าตายได้ เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังเข้าสู่โสตประสาทของเหยียนเฟยแล้ว
...เสียงของฉีอ๋อง!