บทที่ 5 ทรราชผู้นั้นเองหรือ
เหยียนเฟยเร่งฝีเท้านำเจียวเหมยออกมาไม่ไกลก็ปะทะกับพี่ใหญ่ที่กลังเดินตรงมาทางนี้พอดี เบื้องหลังของเขามีบุรุษท่าทางน่าเกรงขามคนหนึ่งตามมาด้วย เหยียนเฟยจึงต้องหยุดและคารวะตามมารยาท
“คารวะพี่ใหญ่และคุณชายด้านหลังเจ้าค่ะ”
จิ้งหลินหยักยิ้มทักทาย แต่สายตาของเขามองไปข้างหลังยังทางที่นางจากมาไม่หยุดดูท่าว่าจะตามมาจากเสียงดังเนื่องจากมีคนตกน้ำและเสียงหวีดว้ายกระมัง
“อ้อ เบื้องหลังพี่คือฉีอ๋อง คุณชายตระกูลเซี่ย เป็นสหายพี่เอง”
เหยียนเฟยได้ยินดังนั้นก็อดมองสำรวจบุรุษเบื้องหลัง
จิ้งหลินนานหน่อยมิได้ ที่แท้บุรุษที่ถูกเหล่าเด็กน้อยเมื่อครู่เอ่ยถึงอย่างออกรสออกชาติก็คือคนผู้นี้นั่นเอง
ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาเช่นนี้ ท่าทางองอาจน่ายกย่องเช่นนี้ ไยถูกพวกนางรังเกียจจนถูกจับคู่ว่าเหมาะสมกับนางได้กันนะ...
อ้อ หรือจะเพราะฉายาเขาที่ถูกเรียกว่าทรราชกัน...
“ฮึ่ม อาเฟย เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเช่นนั้นสิ”
เหยียนเฟยละสายตาจากการสำรวจมองสบกันสายตาปรามของจิ้งหลิงก็รู้ตัวว่าตนเผลอทำพลาดไปแล้ว เมื่อครู่นางลืมตัวไป สตรียังไม่ออกเรือนนางหนึ่งกลับมองบุรุษผู้หนึ่งอย่างโจ่งแจ้งช่างน่าอายนัก
“คารวะฉีอ๋องเจ้าค่ะ ข้าน้อยขออภัยที่ล่วงเกินท่านเมื่อสักครู่ด้วย”
ฉีอ๋อง อันเป็นบรรดาศักดิ์ที่ได้รับจากฝ่าบาทสืบเนื่องมาจากเขาชนะศึกคราใหญ่เมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นอ๋องคนเดียวในยุคราชวงศ์จ้าวที่มาจากสามัญชนไม่ใช่สายเลือดราชวงศ์ จึงไม่จำเป็นที่คนอื่นจะต้องใช้คำราชาศัพท์ด้วย แต่ให้ความสำคัญเรื่องลำดับขั้นว่ามีศักดิ์เทียบเท่าอ๋องท่านอื่นเท่านั้น
เขายังคงเป็นคุณชายตระกูลเซี่ยเช่นเดิม หากคนสนิทจริงบางคราก็จะเรียกว่านามจริง เจ๋อรุ่ย สหายสนิทของเขามีไม่มากสนิทที่สุดก็คงจะเป็นเฉินจิ้งหลินนี่ล่ะ พวกเขาทั้งสองรู้จักกันเพราะมีอาจารย์คนแรกคนเดียวกันก็คืออาจารย์เฉินเสียอี้ ที่คือกุนซือคน
สนิทของบิดาของเขาตอนไปออกศึก และก็คือท่านลุงของเฉินจิ้งหลินนั่นเอง
อา จะว่าไปแล้วหากสตรีตรงหน้าถูกจิ้งหลินเรียกว่าน้องรอง นั่นแสดงว่าคือบุตรสาวคนเดียวของอาจารย์เฉินน่ะสิ
นอกจากสายตาเด็ดเดี่ยวและยากคาดเดาแล้ว ไม่ว่าจะสีผิว หรือใบหน้าล้วนไม่คล้ายเลยสักนิด
เซี่ยเจ๋อรุ่ยไม่เอ่ยตอบอันใด เขายืนนิ่งเช่นเดิมจนสหายอย่างจิ้งหลินเป็นคนเปลี่ยนเรื่องเอง
“อ้อ น้องรองรู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นฝั่งนู้น เมื่อครู่พวกข้าได้ยินเสียงดังมากเหมือนมีสิ่งใดตกน้ำอย่างไรอย่างนั้น”
เหยียนเฟยมีหรือจะไม่รู้ ยังไม่ทันอ้าปากบอกก็มีบ่าวหน้าคุ้นตาว่าเป็นบ่าวของเป่าหลิงวิ่งมาเสียก่อนแล้ว
“คุณหนูรองเจ้าค่ะ ฮูหยินรองเรียกให้ไปหาเจ้าค่ะ”
อาสะใภ้รองมาที่เกิดเหตุแล้วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเหตุผลที่เรียกนางไปก็คงไม่พ้นเรื่องนั้นหรอก...
“เฮ้อ ลาก่อนนะพี่ใหญ่ หรือไม่หากท่านอยากรู้ข้าแนะนำให้ตามข้ามาเจ้าค่ะ”
เอ่ยจบไม่อยู่รอขยายความอันใดเหยียนเฟยก็เดินย้อนกลับไปแล้ว
บุรุษสองคนที่หนึ่งคนคือคนในตระกูลเฉินเองและอีกหนึ่งคือคนนอกที่เกลียดการเดินเข้าหาบริเวณที่มีคนอยู่กันมากยิ่ง
จิ้งหลินก็รู้ใจสหายเช่นกัน เขาจึงตั้งใจว่าตนจะหันกลับไปบอกให้สหายไปรอที่ศาลาริมน้ำอีกฝั่งหนึ่งก่อน ตนเองไปดูน้องสาวก่อนเดี๋ยวตามไป ทว่ากลับเห็นร่างสูงใหญ่เดินผ่านลิ่วไปเสียแล้ว
สหายผู้ไม่ชอบความวุ่นวายครานี้กลับเดินไปก่อนเขาเสียอีก เรื่องนี้มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก!
“นั่นอย่างไรท่านแม่ นางมาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงคุณหนูหลี่ในสภาพผมเผ้าเปียกน้ำมีผ้าคลุมผืนแห้งคลุมอยู่ตะโกนชี้หน้ามาทางเหยียนเฟยทันทีที่นางเดินเลี้ยวผ่านมุมมา สีหน้าเครียดแค้นตาจ้องเขม็งจนดูหมดเคล้าคุณหนูผู้สูงส่งไปเสียแล้ว
แต่ที่น่าประหลาดใจคือนางมีหน้าตระหนกเล็กน้อยเมื่อมองผ่านข้างหลังเหยียนเฟยไป
“คารวะฉีอ๋องเจ้าค่ะ”
เหล่าสตรีในบริเวณนี้ต่างพากันคารวะผู้มาใหม่แทบไม่ทัน จากสีหน้าเอาเรื่องของสองแม่ลูกตระกูลหลี่ คุณหนูหลี่คนลูกและเหล่าคุณหนูที่ร่วมวงสนทนาเมื่อครู่พากันหน้าซีดอย่างมิได้นัดหมายแล้ว
เหยียนเฟยหยักยิ้มชอบใจอยู่คนเดียว คาดว่าไม่น่ามีใครเห็น ทว่านางลืมหลบสายตาของคนผู้หนึ่งเสียแล้ว สีหน้าอารมณ์ที่แตกต่างอย่างโดดเด่นของเหยียนเฟยล้วนอยู่ในสายตาของเจ๋อรุ่ยทั้งหมดแล้ว
“คุณหนูหลี่กำลังเอ่ยถึงเรื่องใดอยู่หรือ? พอดีเลยมีฉีอ๋องมาร่วมด้วย เจ้าข้องใจเรื่องใด ข้าพร้อมอธิบายที่มาที่ไปทุกเรื่องไม่ขาดแน่”
รอยยิ้มอย่างคนมีใจกว้างขวางถูกส่งไปยังคนที่ชี้หน้านางเมื่อครู่โดยตรง หากหลี่หว่านหรูไม่สมองหมูจนเกินไปย่อมต้องเข้าใจความหมายที่นางกำลังจะสื่อแน่
...หากนางกล้าบอกว่าเหยียนเฟยผลักนางตกน้ำ หรืออันใดก็แล้วแต่ที่กล่าวโทษมายังนาง เหยียนเฟยก็พร้อมจะเอ่ยถึงเรื่องที่พวกนางนินทาฉีอ๋องต่อหน้าคนถูกนินทา
วัดกันไปเลยว่าใครจะเสียหายหนักกว่ากัน!
ส่วนเรื่องที่ฉีอ๋องตามมาด้วยนั้นแน่นอนว่าอยู่ในแผนการนางที่แวบขึ้นมาแต่แรก เหยียนเฟยจึงเอ่ยชวนพี่ใหญ่หวังให้อีกคนตามมา ซึ่งก็เดิมพันห้าส่วนอีกห้าส่วนหากเขาไม่มานางก็หาทางรอดอื่น ทว่าเมื่อมาแล้วเหยียนเฟยก็ค่อยสบายใจ ประหยัดแรงหน่อย
“บุตรสาวของข้าบอกว่านางถูกเจ้าผลักลงสระบัว...”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าว่าเมื่อครู่คงสำลักน้ำจนเบลอไป ข้ารู้สึกมึนหัวจึงน่าจะเซตกน้ำเองเจ้าค่ะ แฮะๆ”
ก่อนเรื่องจะใหญ่โตไปมากกว่านี้หลี่หว่านหรูรีบเปลี่ยนคำพูดทันที ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าการแก้แค้นคือชีวิตของนางและคนในตระกูล หากบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าทรราชจากการฆ่าบิดาตนเองไม่พอใจเข้า...
ไม่ได้เด็ดขาด นางไม่ขอเสี่ยงแล้ว แก้แค้นไว้คราวหน้าก็ได้
ทว่านิสัยบุตรสาวย่อมได้มาจากมารดา เสียหน้ามิได้ หากการที่บุตรสาวตกน้ำเพราะคนอื่นแกล้งยังหน้าอายน้อยกว่าตกเพราะไม่ระวัง ฉะนั้นแม้นบุตรสาวยืนยันมาเช่นนั้นแต่นางก็ต้องปกป้องหน้าตาตนเองเช่นกัน
“เจ้าอาจไม่เห็น ทว่าคุณหนูสหายของเจ้าต้องเห็นว่าหว่านหรูถูกใครบางคนผลักตกน้ำแน่ ใช่หรือไม่!?”
คราวนี้หลี่ฮูหยินหันกลับมาเค้นถามเหล่าคุณหนูที่อยู่ตรงนี้ รวมถึงคุณหนูสามและคุณหนูห้าตระกูลเฉินด้วยแล้ว หากคนในตระกูลเดียวกันยืนยันว่าเห็นเหยียนเฟยผลักตกน้ำย่อมยากจะคัดค้าน
“...”
ไฉนเหล่าคุณหนูที่เมื่อครู่ต่างพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยต่างเงียบและก้มหน้าตัวสั่นเทาเช่นนี้เล่า!
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่...
“หลี่ฮูหยิน ในเมื่อคุณหนูหลี่ยืนยันเองว่าเพราะนางไม่ระวังเอง ท่านก็อย่าได้รอช้าเลย เมื่อครู่นางมึนหัวจนตกน้ำหากตัวเปียกนานเข้าเป็นลมหมดสติไปจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนะ...”
เหยียนเฟยพูดไม่ทันขาดคำ หลี่หว่านหรูที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดมานานก็ตัวอ่อนลงนั่งกองกับพื้นไปแล้ว หากไม่มีบ่าวคอยประคองไว้หัวอาจกระแทกพื้นได้เลย
รางวัลสุพรรณหงส์สาขาการแสดงประจำปีนี้ เหยียน
เฟยขอมอบให้หลี่หว่านหรูคนนี้เลย!!!
เมื่อบุตรสาวเป็นลมไปแล้วหลี่ฮูหยินก็ล่าถอยไป นางให้คนพากลับจวนทันที ส่วนเหล่าคุณหนูที่ยังตัวสั่นไม่หาย ไม่แม้จะมองมาทางเหยียนเฟยที่มีฉีอ๋องอยู่เบื้องหลัง พวกนางเดินก้มหน้าเรียงกันออกไปอย่างสงบเสงี่ยม มารยาทงามจนเหยียนเฟยกลั้นขำไม่ไหวแล้ว
“คุณหนูรองตระกูลเฉินเป็นคนอารมณ์ดีไม่หยอกเชียว ไว้คราวหน้าข้าต้องขอเรียนรู้วิธีทำให้รื่นเริงได้แม้ไร้สิ่งเร้าบ้างเสียแล้ว”
เหยียนเฟยหยุดอารมณ์รื่นเริงทันใด คำพูดของฉีอ๋องดูเหมือนคนล่วงรู้สิ่งที่นางทำอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าพอหมุนตัวหันกลับไปเห็นสีหน้าเรียบนิ่งไม่ต่างจากเดิมก็คลายความกังวลลง
ไม่แน่ว่าเมื่อครู่เขาอาจสื่ออย่างที่พูดไม่มีสิ่งใดแอบแฝงก็เป็นได้
“ข้าน้อยเพียงสำลักอากาศเท่านั้นเจ้าค่ะ เมื่อครู่หาได้ขบขันอันใดไม่”
พูดจบก็ฉีกยิ้มจริงใจส่งให้หนึ่งที
ทว่าคำพูดต่อมาของฉีอ๋องก็ทำให้นางหุบยิ้มทันใดเช่นกัน
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้ากำลังขบขันเสียหน่อย”
...อา นี่นางร้อนตัวไปหรือนี่
จริงที่เขาบอกว่านางดูอารมณ์ดี ไม่มีบอกว่านางขำเลย
“เอ้อ เจียวเหมย นี่มันเวลาที่ข้าต้องไปส่งแขกที่หน้าจวนแล้วนี่...”
หันมาพูดกับเจียวเหมยจบก็หันกลับมาส่งยิ้มเสียใจน้อยให้จิ้งหลินและฉีอ๋อง
“ข้าน้อยต้องรีบไปแล้ว ขอให้พวกท่านคุยกันให้สนุกนะเจ้าคะ ข้าลา”
เหยียนเฟยจากไปแล้ว บริเวณที่ก่อนหน้ามีคนยืนอยู่นับสิบบัดนี้เหลือเพียงบุรุษสองคนเท่านั้น จิ้งหลินที่ตั้งแต่มาได้แต่ยืนมองยังไม่ทันเข้าใจอันใดทุกอย่างก็มลายหายไปราวภาพฝันเสียแล้ว
“เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันแนะนำน้องสาวอีกสองคนให้เจ้ารู้จักเลย ไว้คราหนะ...”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้อยากรู้จัก”
พูดจบก็หมุนกายเดินกลับไปยังทิศที่พวกเขาเพิ่งจากมาทันที
จิ้งหลินผู้น่าสงสาร มีสหายสนิททั้งทีกลับมามีสหายที่เข้าใจยากเสียด้วย...