บทที่ 2 เผชิญหน้ากับคนตระกูลเฉิน
เหยียนเฟยมาถึง ก็พบว่าในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า มีคนมากหน้าหลายตา หลายสิบชีวิต ยืนอยู่ก่อนแล้ว ดีที่ความทรงจำของร่างเก่าไม่หายไป นางรู้ว่าแต่ละคนคือใครไม่ขาดตกเลยสักคน ซึ่งมันทำให้นางรู้ว่าคนตระกูลเฉินมากันครบถ้วน เหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกมาคงไม่พ้นเรื่องแบ่งสมบัติแน่
“คารวะท่านอารอง ท่านอาสะใภ้รอง ท่านอาสาม ท่านอาสะใภ้สาม ท่านอาสี่ ท่านอาห้าและท่านอาสะใภ้ห้า แล้วก็พี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ”
เหยียนเฟยคารวะลูกของปู่ย่าทุกคน ส่วนหลานนั้นนางมีหน้าที่คารวะแค่พี่ใหญ่ อันเป็นบุตรชายคนโตของท่านอารอง ส่วนหลานคนอื่นล้วนต้องก้มหัวคารวะให้นางแทน
เหยียนเฟยรับแค่การคารวะส่วนสายตาที่มองนางอย่างสำรวจตรวจตรา บ้างก็มองแล้วหยักยิ้มมุมปากแกมสมเพช หรือมองมาด้วยสายตาระแวดระวังนั้นเหยียนเฟยไม่ขอรับไว้แต่อย่างใด
นางพอรู้ตัวว่าสภาพตอนนี้ของนางไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ ทั้งผิวทั่วกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าที่ดำเปื้อนไม่ผ่องใสเหมือนเหล่าคุณหนูตรงหน้า ไหนจะเสื้อผ้าที่แย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ของจวนอีกล่ะ หากหวังดีต่อกันสายตาพวกเขาต้องมองมาด้วยความเวทนาบ้างสิ มิใช่ดูสมใจเช่นนั้น
หากจะให้บอกว่าใครดูน่าจะพอไว้ใจได้ก็คงเป็นพี่ใหญ่นั่นล่ะ นัยน์ตาเขาดูเวทนานางอยู่บ้าง
“พี่หญิงรองไยท่านอัปลักษณ์ยิ่งกว่าบ่าวของข้าอีกเล่า ข้าเกือบจำพี่ไม่ได้แหนะ”
คนพูดคือน้องห้า บุตรีของอนุจางกับท่านอารอง คนผู้นี้คิดเช่นใดก็พูดออกมาเช่นนั้น ไม่ซับซ้อนเท่าบุตรของเหล่าภรรยาเอกของท่านอาคนอื่น
แต่เหยียนเฟยก็ไม่ถือโทษหรอก เพราะนางไม่เหลือเค้าหญิงงามแล้วจริงๆ สตรีใบหน้างดงามที่ไร้คนปกป้องคุ้มครองหากอยู่บ้านนอกมีหรือจะรอดพ้นเงื้อมมือของเหล่าบุรุษแถวนั้น นางทำตนเองให้มีสภาพเช่นนี้นั่นแหละถึงอยู่รอดปลอดภัยให้คนตรงหน้ามองด้วยสายตาดูถูกได้
อีกทั้งสีดำสูตรของท่านผู้เฒ่าพิษที่เปื้อนตามกายนั้นไม่ใช่เพียงอาบน้ำธรรมดาแล้วจะล้างออกได้เลย นางต้องใช้น้ำอาบผสมสมุนไพรสูตรล้างสีโดยเฉพาะ และจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีเวลาจัดการเรื่องนี้เลยเท่านั้น
“น้องห้ายังพูดเก่งไม่เคยเปลี่ยน ก่อนพี่จะถูกส่งไปรักษาตัวที่บ้านเดิมตระกูลเฉิน น้องมีนิสัยเช่นไรตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นเชียว”
คำชมนี้ฟังแล้วไม่ใช่คำชมสำหรับคนมีหัวคิดหรอก เหยียนเฟยกำลังหมายความว่าแต่ก่อนที่ยังอายุน้อยมีนิสัยเป็นเช่นไรตอนนี้อายุมากขึ้นแล้วก็ยังมีนิสัยเด็กอย่างเดิมต่างหาก
“เอาล่ะๆ อย่าให้ท่านแม่คอยนานเลย อย่างไรเหยียนเฟยก็มาแล้วพวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มแฝงด้วยความไม่สดใสออกจากปากของน้องสาวคนเดียวของท่านพ่อนาง ท่านอาสี่ เฉินปี้ฉิน นางออกเรือนไปแล้ว แต่คราวนี้ไม่วายพาบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่งมาด้วย พอมีคนเดินนำเข้าห้องนอนของท่านย่าไปแล้วคนอื่นก็ค่อยๆ ทยอยตามเข้าไป เหยียนเฟยนั้นเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ห้องนอนที่กว้างที่สุดในจวนก็เล็กลงถนัดตา หากไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศมีหวังต้องมีคนเป็นลมในไม่ช้าแน่
“อะ อ้อ พวกเจ้ามากันครบแล้วหรือ แล้วหลานรองล่ะอยู่ไหน?”
ฮูหยินผู้เฒ่า หรือ ท่านย่าของเหยียนเฟยมีพลังชีพอ่อนแล้วจริงดังว่า เสียงที่นางเปล่งออกมาขาดห้วงและแผ่วเบาฟังแล้วพานให้ไม่มีแรงตาม ทว่าการที่นางถูกเรียกหาตั้งแต่แรกนั้นดูน่าเป็นกังวลมากทีเดียว เหยียนเฟยเข้าใจสังคมไม่ว่าจะยุคไหน ว่าการทำตัวโดดเด่นนั้นมักมีภัยมาหาตัว ซึ่งสายตาของเหล่าญาติที่อยู่ใกล้ก็บ่งบอกถึงภัยนั่นได้เป็นอย่างดี
ฮูหยินผู้เฒ่านี่ช่างแปลกคน ทำราวกับนางเป็นหลานรักเช่นนั้นแหละ ทั้งที่ก่อนหน้าไล่นางออกไปลำบากที่บ้านนอกอย่างไม่สนใจแท้ๆ
“คุณหนูรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นเสียงของบ่าววัยกลางคนที่ไปรับเหยียนเฟยมานั่นเอง อยู่ต่อหน้าเจ้านายช่างดูนอบน้อมจนแปลกตา
“พานางมาหาข้า...”
เหยียนเฟยเดินผ่านเหล่าคนาญาติจนมาหยุดที่หน้าเตียงอันมีร่างผอมแห้งของผู้เป็นย่านอนอยู่ สายตาที่คนบนเตียงใช้มองมาที่นางนั้นวาบหนึ่งฉายแววประหลาดใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นเวทนาและรู้สึกผิด
คงเพราะใกล้ได้ไปพบยมบาลแล้วจึงรู้สึกผิดที่ทำกับ
เหยียนเฟยขึ้นมาได้กระมัง ทว่ามันสายไปแล้ว หลานแท้ๆของนางตายจากไปแล้ว จะบอกว่าเป็นฝีมือของคนป่วยใกล้ตายตรงหน้าก็ไม่ผิดหรอก
สีหน้าของเหยียนเฟยยามมองญาติผู้ใหญ่ที่มองตนด้วยความรู้สึกซับซ้อนนั้นเย็นชาและห่างเหินยิ่งนัก ความคิดเก่าใหม่
ถาโถมเข้ามาจนกลั่นเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกทางหางตา ของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้คงไม่มีหนทางได้ขึ้นสวรรค์แล้วกระมัง...
“อาเฟย เจ้าอยู่บ้านเดิมคงลำบากมากกระมัง...”
นางมีชีวิตมาก็มีอำนาจคุยกับผู้ใดก็มักถูกมองและตอบมาด้วยความเคารพนอบน้อมเสมอ ทว่าก่อนตายกลับถูกเด็กอายุน้อยกว่าตนหลายเท่ามองด้วยสายตาเย็นชาเสียได้
ทว่าความกรุ่นโกรธตอนนี้กลับมีไม่เท่าความผิดที่เพิ่งมาสำนึกได้ตอนที่ใกล้ตาย
หลายปีมานี้นางเสวยสุขอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทองและอำนาจจนเผลอทำผิดไปหลายสิ่ง ผีห่าซาตานแห่งความโลภกลืนกินนางทำให้นางเดินทางผิดในช่วงบั้นปลายของชีวิต
ปีที่ผ่านมานี้วิญญาณคนคุ้นเคยเวียนวนเข้าฝันสร้างความอ่อนล้าสะสมจนสุดจะทน