บทที่ 10 ญาติของอาสะใภ้รองมาเยี่ยมเยียน (2)
เหยียนเฟยทำตามที่พูดทันที นางส่งซูเหมยคนปากมากไปรับของจากอาสะใภ้ทันทีที่จบมื้ออาหาร ซึ่งนางส่งไปถูกคนเสียด้วย ความปากดีและนิสัยขี้เกียจตัวเป็นขนของซูเหมยมีประโยชน์อย่างมากในงานประเภทนี้
คนขี้เกียจนั้นมีข้อดีอย่างหนึ่งที่อดีตบอสจากยุคสองพันเข้าใจดี คือ พวกคนเหล่านี้มักหาวิธีการที่จะทำงานเดียวกันให้เสร็จในเวลาอันสั้นและผลลัพธ์พอผ่านเกณฑ์เสมอ
ก่อนซูเหมยจากไปยังเรือนใหญ่ของหยางเชาหลิน เหยียนเฟยกำชับให้นางนำบัญชีของมารดานางมาให้ครบตามรายชื่อเหล่านี้ หากไม่ครบเหยียนเฟยจะให้นางกลับไปเอามาใหม่
ฉะนั้น คนขี้เกียจแม้จะเดินตามเจ้านายไปในจวนตามหน้าที่อย่างซูเหมยย่อมตรวจบัญชีในหีบที่หยางเชาหลินมอบให้มาอย่างดี เมื่อขาดอันไหนก็จะทวงถามทันใดไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด พอนำกลับมาให้เหยียนเฟยตรวจแล้วพบว่าครบถ้วนตามที่ต้องการ
ปิ่นหยกอันเป็นเครื่องประดับเดียวบนผมของเหยียนเฟยตอนนี้จึงอยู่บนมือที่แบกว้างของซูเหมยเรียบร้อย
“ปิ่นนี้เป็นของมารดาข้า มอบให้เจ้าก็แล้วกัน อย่าได้ใช้บ่อยหรือทำหายล่ะ เป็นชิ้นที่มารดาของข้าทำขึ้นมาพิเศษเลย”
คนรับไปตาลุกวาวทันที ยังไม่ทันขาดคำก็ยกปิ่นที่เพิ่งได้รับมาเสียบบนกลุ่มผมของตนทันที
เหยียนเฟยหยักยิ้มพอใจ นางไม่ได้ว่าอันใด เพราะตามจริงแล้วปิ่นนี้ก็คือปิ่นทั่วไปที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดนั่นล่ะ แต่ที่นางเอ่ยไปก่อนหน้าเพื่อสร้างคุณค่าให้ปิ่นธรรมดาดูพิเศษขึ้นเท่านั้น
และเพื่อไม่เป็นการทำให้บ่าวส่วนตัวของนางอีกคนรู้สึกน้อยใจ เหยียนเฟยก็ควักถุงเงินใบเล็กมอบให้เจียวเหมยด้วยเช่นกัน นางรู้ว่าสำหรับเจียวเหมยแล้วการได้สิ่งของสวยงามล้วนไร้ค่าเพราะจะนำไปขายเอาเงินก็ไม่ได้เผื่อเจ้านายถามถึงในอนาคต แต่เจียวเหมยที่ทำงานหนักเพื่อมารดานั้นเหมาะกับเงินมากกว่า ฉะนั้นยามเจียวเหมยทำดีนางก็มอบของรางวัลเป็นเงินเสมอ
หลายวันมานี้หลังจากเหยียนเฟยได้สินเดิมของมารดามาไม่ว่าจะร้านขายชุดหรือร้านขายเครื่องประดับ นางเร่งจัดการทำตามแผนการตลาดที่ตนวางไว้ตั้งแต่รู้ว่าร้านของมารดาคือร้านไหนเลยทันที ด้วยความที่คุณหนูยังไม่ออกเช่นนางออกจากจวนไม่ง่าย หน้าที่นำเรื่องส่งไปยังหลงจู๊ในแต่ละร้านจึงเป็นของซูเหมยโดยพลัน
ซึ่งเรื่องทำนองสั่งการคนนั้นซูเหมยจัดการได้ดีจนน่าตกใจ ในอนาคตหากนางออกไปจากจวนตระกูลเฉินอย่างภาคภูมิได้นางต้องติดต่อซูเหมยให้ตามตนออกไปหน่อยแล้ว แน่นอนว่าเจียวเหมยก็ด้วย
ด้วยความที่ทำเลร้านทั้งสองเป็นทำเลทองเพียงแต่อาสะใภ้ดูแลร้านสองร้านนี้อย่างไม่ใส่ใจร้านจึงพอพยุงอยู่แต่ไม่มีกำไรมากเท่าที่ควร สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยจึงคือการลงทุนผลิตสินค้าไปวางขายที่ร้านให้ใหม่และน่าสนใจ พร้อมจัดโปรโมชั่นที่น่าดึงดูดพอให้ลูกค้าใหม่เดินเข้าร้าน เข้ามาแวะชมก็ยังดี
ทำเพียงสองอย่างนี้เหยียนเฟยก็หัวหมุนแล้ว นางเงยหน้าจากงานยุ่งๆในมืออีกทีก็ถึงวันแรกของปีใหม่แล้ว เมื่อคืนตอนฉลองปีใหม่คนในตระกูลเฉินต่างไปรวมตัวชมดอกไม้ไฟและนั่งสนทนาข้ามปีกันที่เรือนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ไม่มีใครสนใจอย่างเหยียนเฟยแล้วนางเพียงกินมื้อค่ำแล้วก็ขอตัวกลับไปนอนที่ห้องเท่านั้น
คืนปีใหม่นี้เหยียนเฟยฉลองข้ามปีกับบรรดากระดาษที่นางเขียนกลยุทธ์การตลาดมากมายมีทั้งได้ใช้บ้างไม่ได้ใช้บ้าง ไร้บ่าวไพร่ส่วนตัวและบ่าวในเรือน เพราะต่างก็ไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวตนเอง ภายในเรือนใหญ่ของอดีตว่าที่ประมุขตระกูลอย่างชอบธรรมจึงเงียบสงัดไร้เสียงใด
จะมีก็เพียงเสียงเปิดกระดาษสลับแผ่นไปมา
เสียงจิ๊จ๊ะจากความไม่ดั่งใจ จากเจ้าของเรือนบ้างก็เท่านั้น
เช้าวันถัดมา พี่น้องสกุลหยาง ญาติฝ่ายอาสะใภ้รองก็มาถึง พวกเขาส่งจดหมายมาแจ้งล่วงหน้าเมื่อหลายวันก่อนว่าจะเข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมเยียน วันนี้เพิ่งมาถึง หลักๆก็มีพี่ใหญ่ น้องสาม และอาสะใภ้รอง รวมถึงอนุจางของอารองและบุตรสาวของนาง น้องห้า มาต้อนรับที่หน้าจวน อารองออกไปทำงานแต่เช้า ส่วนครอบครัวของท่านอาคนอื่นไม่เกี่ยวข้องเท่าไรจึงไม่จำเป็นต้องมาต้อนรับ
ทว่าเหยียนเฟยที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน แต่อาสะใภ้รองก็ให้บ่าวไปแจ้งว่าให้ออกมาต้อนรับด้วยเหตุผลว่าอยากให้นางสนิทกับญาติฝ่ายนางไว้ แสดงออกว่าอาสะใภ้รองทำตามคำฝากฝังของฮูหยินผู้เฒ่าได้ดียิ่ง
“นี่หลานสาวข้าเอง นางคือบุตรสาวคนเดียวของคุณชายใหญ่ที่เสียไปแล้ว เป็นอย่างไรงดงามหรือไม่?”
เหยียนเฟยคิดว่าตนมาตรงนี้คงเพียงพอเป็นพิธีเท่านั้นไหนเลยจะคิดว่าหลังจากหยางเชาหลินแนะนำลูกๆของตนแล้วจะอ้างอิงมาถึงนางด้วย
คนที่กำลังสนทนาด้วยคือพี่สะใภ้สกุลหยางของหยางเชาหลิน นามว่า ลี่จือ สกุลจู จึงถูกเรียกว่าจูฮูหยินจากคนทั่วไป
“อ้อ คุณหนูรองเองหรือ งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ มาปีก่อนๆไม่เจอกัน อย่างไรปีนี้มีวาสนาก็ทำความรู้จักกันไว้นะ อย่างไรอนาคตก็คงอยู่ด้วยกันอีกนาน”
เหยียนเฟยฟังแล้วรู้สึกระคายหูเล็กน้อย หัวคิ้วจึงย่น
ชั่วครู่อย่างไม่รู้ตัว
“คารวะ จูฮูหยินเจ้าค่ะ”
ส่วนหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีที่น่าจะเป็นลูกๆของนางนั้น
เหยียนเฟยเพียงส่งสายตาเป็นการทักทายเฉยๆ เพราะนางไม่รู้จักมาก่อนอีกทั้งยังไม่เคยมีใครแนะนำให้รู้จักด้วย
“นี่ พี่รองลืมเคารพญาติผู้พี่กระมัง พี่รองอย่าได้นำนิสัยกระด้างกระเดื่องมาใช้กับแขกของข้านะ”
เมื่อมีช่องว่างให้ค่อนขอดเป่าหลิงก็รีบทันใด ทว่านางพูดจบปุ๊บก็ได้รับสายตาห้ามปรามจากมารดาทันทีอย่างคาดไม่ถึง
“พี่สาวเจ้าไม่รู้จึงไม่ได้เคารพน่ะสิ อาหลิงอย่าได้ปากมากไป”
ตักเตือนบุตรสาวตนเองเสร็จก็หันมาเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับ
เหยียนเฟยต่อ
“คุณหนูรอง ผู้นี้คือบุตรชายคนโตของจูฮูหยินนามว่า ลี่จ้ง อายุแก่กว่าเจ้า ส่วนนั่น บุตรสาวคนเล็กนามว่า ลี่อิน อายุอ่อนกว่า”
เหยียนเฟยไล่สายตามองตาม นางรู้สึกประหลาดกับท่าทีคุ้นตาของอาสะใภ้รองยิ่งนักทว่าได้แต่เก็บความแปลกประหลาดนี้ไว้ในใจก่อน นางย่อเคารพญาติผู้พี่อย่างลี่จ้งเสร็จกำลังจะลุกขึ้นยืนตรงอีกครั้งกลับถูกมือหนาของคนที่นางเคารพเอื้อมมาช่วยพยุงขึ้นเสียอย่างนั้น
“ยินดีที่ได้พบกับน้องเหยียนเฟยนะ พี่เรียกเจ้าว่าเฟยเอ๋อร์ได้หรือไม่? เราจะได้สนิทกันเร็วขึ้น...”
ในจวนแห่งนี้ยังไม่มีใครเรียกนางได้สนิทเพียงนี้เลย บุรุษตรงหน้าเป็นใครถึงเอ่ยปากขอ
ความคุ้นเคยที่ว่านางคุ้นการกระทำแบบนี้ของอาสะใภ้รองที่ใดนั้น บัดนี้นางคิดออกแล้ว
ท่าทางเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อคราที่แล้วตอนวันงานศพของฮูหยินผู้เฒ่าที่นี่ หยางเชาหลินทำเช่นนี้ยามแนะนำบุตรสาวตนเองให้ฮูหยินตระกูลหลี่รู้จักนั่นเอง
กริยาสนิทสนมเช่นนี้เกิดขึ้นตอนที่อาสะใภ้กำลังแนะนำนางให้จูฮูหยิน อย่าบอกนะว่าเหยียนเฟยกำลังถูกเล็งไปเป็นสะใภ้ให้ตระกูลหยางตรงหน้านี้!
