ตอนที่6
บ้านสองชั้นไม่เล็กไม่ใหญ่เหมาะกับครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน ลูกสาวคนโตที่เพิ่งกลับถึงบ้านในช่วงดึกหลังเลิกงานก้าวขาเข้าบ้านหลังจะได้พักผ่อน แต่ทันทีที่ขาเรียวพ้นขอบประตูบ้านแววตาที่ง่วงซึมก็เบิกโพรงด้วยความตกใจกับสภาพบ้านที่เห็นตอนนี้
“นะ...นี่มันอะไรกันคะ เกิดอะไรขึ้นคะแม่” ภาพข้าวของในบ้านกระจัดกระจายราวกับเพิ่งเกิดสงครามขนาดย่อมๆ ภายในบ้านของเธอ
“ไม่มีอะไรหรอก” ผู้เป็นแม่ตอบพร้อมหลบตาไม่กล้าสบตาลูกสาวที่เพิ่งกลับมาเจอ
จันฉายมองรอบบ้านที่ตอนนี้มีเพียงแค่แม่คนเดียวที่กำลังเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ส่วนพ่อกับน้องสาวไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
“เดี๋ยวจันช่วยค่ะ” หญิงสาวรีบวางของและอาสาก้มเก็บเศษแก้วที่แตกบนพื้นด้วยความระวัง
“แม่คะ บอกจันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เมื่อเก็บของเข้าที่เรียบร้อยจันฉายค่อยๆ เอ่ยถามความจริงที่เกิดขึ้นจากคนเป็นแม่
“ฮึก...พวกเจ้าหนี้มันมาทวงหนี้ที่บ้านเรา”
“หมายความว่ายังไงคะ” จันฉายนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ที่กำลังปิดหน้าร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“คุณพ่อเขาเคยไปยืมกู้เงินนอกระบบเมื่อปีก่อน ตอนนี้เจ้าหนี้มันก็มาทวงคืน”
“คุณแม่รู้เรื่องนี้มาก่อนไหมคะ”
“ไม่ แม่เพิ่งรู้วันนี้วันที่พวกนั้นมาอาละวาดที่บ้านเรา” คนเป็นแม่เพิ่งรับรู้ความจริงที่สามีปกปิดมาเป็นปี
“คุณพ่อไปยืมพวกนั้นมาเท่าไหร่เหรอคะ”
“สามล้าน ดอกเบี้ยอีกเกือบสองล้าน”
“คะ! เยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนตัวเล็กตาเบิกกว้างตกใจกับจำนวนเงินที่ได้ยิน
“ดอกเบี้ยมันทบต้นแล้วน่ะ แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงตอนนี้แม่กลัวมากเลย...ฮือ” คนเป็นแม่ปิดหน้าร้องไห้สะอื้นตัวสั่นทำให้เธอต้องกอดปลอบท่านให้หายกังวล
“แล้วคุณพ่อกับพราวไปไหนคะ” จันฉายมองรอบบ้านที่เงียบสนิทมีแค่เธอและแม่สองคนเท่านั้น
“แม่กลัวว่าพวกนั้นจะกลับมาอีก คุณพ่อเขาเลยพาพราวไปส่งที่บ้านคุณปู่ที่กาญจนบุรี”
“ดีแล้วค่ะ น้องยังเด็กอย่าให้พราวมาเจอเรื่องแบบนี้เลยค่ะ” จันฉายโล่งใจที่อย่างน้อยน้องสาวก็ปลอดภัย ส่วนบ้านคุณปู่ที่น้องสาวไปอยู่นั่นเธอไม่เคยได้ไปเพราะท่านไม่ยอมรับเด็กกำพร้าอย่างเธอเป็นหลาน จันฉายจึงไม่เคยมีโอกาสได้ไปหาท่าน
“แม่ขอโทษนะจันที่ให้รู้มารู้เรื่องอะไรแบบนี้”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ถ้ามีอะไรที่จันช่วยได้จันจะช่วยเต็มที่เลยค่ะ” เธอไม่มีวันลืมบุญคุณของพ่อแม่ที่รับอุปการะเธอมาจากบ้านเด็กกำพร้า พวกท่านมอบชีวิตใหม่ให้เธอ ทำให้เธอได้มีพ่อแม่อีกครั้งหลังจากที่ถูกทิ้งให้อยู่สลัมหลายปี
จันฉายช่วยปลอบผู้เป็นแม่ก่อนจะจัดการทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนตัวเล็กเปิดดูสมุดบัญชีที่มีเงินเก็บเพียงแค่หลักหมื่นแต่เงินที่พ่อไปกู้มานั่นหลักล้าน ต่อให้เธอทำงานเพิ่มจนไม่ได้นอนก็หาเงินมากขนาดนั้นในเวลาสั้นๆ ไม่ได้
“เฮ้อ! จะช่วยพ่อกับแม่ยังไงดีนะ” หญิงสาวคิดไม่ตกกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แค่ครอบครัวเกิดวิกฤตการเงินก็แย่พอแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีเจ้าหนี้มาตามทวงถึงบ้านโชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร
หลังผ่านเรื่องเมื่อคืนในหัวของเธอก็มัวแต่คิดวิตกกังวลจนไม่มีสมาธิทำให้เผลอรับออเดอร์ลูกค้าผิดไปหลายคน การทำงานที่ผิดพลาดของเธอส่งผลให้คนรอบข้างตกใจเพราะจันฉายไม่เคยเหม่อลอยขนาดนี้
“ไหวไหมจัน พักก่อนดีไหม” เพื่อนร่วมงานเริ่มถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ฉันไหว”
“แต่วันนี้เธอดูเหม่อๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“คงไม่นิดแล้วมั้งหน้าเธอกังวลมากเลย ฉันว่าเธอพักก่อนดีกว่า” เพื่อนร่วมงานอีกคนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจันฉายดูแปลกไปจากทุกวัน
“งั้นฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
จันฉายเก็บงำความเครียดทั้งหมดไว้คนเดียวไม่ยอมบอกใคร ไม่แม้แต่จะปรึกษาเพื่อนหรือใครทั้งนั้น เธอไม้อยากเอาความเครียดไประบายให้ใครฟังเพราะทุกคนก็มีเรื่องของตัวเองมากพอแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการเก็บความรู้สึกเศร้าเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
“อ๊ะ! อะไรเนี่ย” เมื่อมือล้วงกระเป๋ากางเกงก็จับโดนบางอย่าง ทว่าเมื่อหยิบขึ้นดูก็พบว่าเป็นนามบัตรยับๆ ของผู้ชายคนหนึ่งที่ให้ไว้เมื่อหลายวันก่อน
เธอลืมผู้ชายที่ให้นามบัตรเธอเสียสนิทแต่นามบัตรยังคงโชว์ชื่อและเบอร์ติดต่อของเขาชัดเจนแม้จะยับยู้ยี่จากการซักไปแล้ว จันฉายมองนามบัตรแล้วเผลอคิดถึงคำพูดของเขาที่เคยบอกเธอเอาไว้
“เป็นคนปล่อยเงินกู้งั้นเหรอ แต่การแต่งตัวดูไม่ใช่เลยนะ” เธอชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะติดต่อไปหาเขาดีหรือไม่ เพราะอยากรู้ว่าเขาสามารถช่วยเธอได้จริงหรือเปล่า
“ถ้าเป็นเจ้าหนี้ล่ะ เราจะเป็นหนี้ซ้ำซ้อนเหรอ”
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เขาอาจจะมีงานให้เราทำ” ในตอนนี้เธอแค่อยากมีงานที่ได้เงินมากพอจะช่วยครอบครัวของตนเอง เมื่อไร้หนทางสุดท้ายเธอก็ต้องยอมติดต่อไปยังเบอร์ที่อยู่บนนามบัตร
“สวัสดีค่ะ คุณอคิรา” ปลายสายรับอย่างรวดเร็วเธอจึงรีบทักทาย
[ใคร?] ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ฉันคนที่เดินชนคุณเมื่อวันนั้นที่โรงแรมxxx จำได้ไหมคะ คุณให้นามบัตรฉันมา...”
[หึ! ฉันจำได้แล้ว] เขาไม่รอให้เธอได้แนะนำตัวให้จบเสียก่อน
“ฉันติดต่อคุณมาเพราะตอนนั้นคุณบอกว่าคุณ...”
[ฉันรู้แล้วไม่ต้องพูดเยอะ คืนนี้มาเจอฉันที่โรงแรมห้องVIPชั้นบนสุด]
“คะ?” คนตัวเล็กตกใจที่ยังไม่ทันได้ถามไถ่เรื่องงานเขาก็นัดให้เธอไปหาเสียแล้ว
[ถ้าไม่มาเธอไม่มีโอกาสแล้วนะ] ปลายสายเอ่ยทิ้งท้ายก่อยจะวางสายไปในทันทีไม่รอให้อีกฝ่ายได้ถามไถ่อะไรต่อ
“เอาไงดีนะ” จันฉายนั่งคิดวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ใจหนึ่งนึกกลัวเพราะยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่อีกใจก็กลัวเสียโอกาสได้ หากเขามีงานที่ได้เงินมากพอเธออาจจะช่วยครอบครัวปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
“แค่ไปเจอคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” เมื่อตัดสินใจได้แน่วแน่ ความกังวลที่มีลดน้อยลงเพราะกลัวจะไม่มีโอกาสดีๆ ซ้ำสองอีกแล้ว ถ้างานที่เขาเสนอมาผิดกฎหมายเธอจะรีบหนีออกมาทันที
