ตอนที่3
จันฉายอยู่บ้านเด็กกำพร้าได้ไม่นานก็มีผู้ใหญ่ใจดีที่มาถูกชะตาขอรับเธอไปดูแลต่อในฐานะลูกบุญธรรม สามีและภรรยาคู่นี้อยากมีลูกมากแต่ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีไหนก็ยังไม่มีเสียทีทั้งคู่จึงตัดสินใจมารับเด็กจากมูลนิธิแห่งนี้
“หนูจะได้มีครอบครัวใหม่แล้วนะจ๊ะจันฉาย” เจ้าหน้าที่มูลนิธิเอ็นดูเด็กหญิงตัวเล็กที่เพิ่งมาอยู่ได้นาน แต่ก็ไปถูกชะตาครอบครัวนี้เข้าให้
“ขอบคุณที่ดูแลหนูนะคะ”
“จ้ะ แล้วกลับมาเยี่ยมพวกเราได้นะ”
“ไปก่อนนะคะ บ๊ายบาย” เด็กหญิงโบกมือร่ำลาทุกคนภายในบ้านก่อนจะขึ้นรถคันหรูที่เพิ่งเคยได้นั่งเป็นครั้งแรกในชีวิต
บ้านสองชั้นสไตล์ยุโรปตกแต่งโมเดิร์นหรูหราจนจันฉายไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้อยู่บ้านหลังนี้จริงๆ เธอคิดว่าตนเองกำลังฝันไปเพราะทั้งชีวิตไม่เคยได้สัมผัสคำว่าสุขสบายมาก่อน
“นี่ห้องนอนของหนูนะ ถ้าขาดเหลืออะไรบอกพ่อกับแม่ได้นะลูก”
“ค่ะ คะ...คุณพ่อ คุณแม่” เสียงหวานเอ่ยด้วยความประหม่าไม่คิดว่าจะได้เอ่ยคำนี้อีกครั้ง
ครอบครัวใหม่เปรียบเสมือนชีวิตใหม่ของเธอ พวกท่านดูแลจันฉายเป็นอย่างดีทั้งให้เรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง รวมถึงได้เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนอีกทั้งยังได้ทำกิจกรรมมากมายที่ไม่เคยได้ทำ จันฉายไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองจะได้มีความสุขแบบนี้
ทว่าผ่านไปได้ไม่นานจู่ๆ ผู้เป็นแม่บุญธรรมของเธอก็ได้ตั้งครรภ์ลูกแท้ๆ ของตนเอง ท่านทั้งสองดีใจมากที่ในที่สุดก็ได้มีข่าวดีหลังจากที่ใช้เวลามานานหลายปี จันฉายก็พลอยดีใจไปด้วยที่จะได้มีน้อง มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
“คุณพ่อคะ”
“พ่อยุ่งนะจัน ไปเล่นที่อื่นก่อน” ผู้เป็นพ่อโบกมือไล่ลูกสาวบุญธรรมที่รับมาอย่างไม่สนใจ
“ค่ะ” จันฉายคอตกพับเก็บใบเกรดที่ตั้งใจมาโชว์ท่านดูว่าเธอสอบได้ที่หนึ่งหวังให้ท่านเอ่ยชม แต่ท่านคงกำลังยุ่งกับงานอยู่
เด็กหญิงเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาผู้เป็นแม่แทนและแน่นอนว่าตอนนี้ท่านกำลังดูแลทารกน้อยซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ที่เพิ่งคลอดได้ไม่นานอย่างประคบประหงมเป็นอย่างดี ยิ่งทำให้จันฉายไม่กล้าเข้าไปรบกวน
เมื่อมีน้องสาวคนเล็กเข้ามาชีวิตของจันฉายก็เริ่มเปลี่ยนไป ห้องนอนใหญ่ที่เคยเป็นของเธอถูกเปลี่ยนเจ้าของใหม่ให้เป็นของลูกสาวตัวจริงของบ้าน ลูกบุญธรรมอย่างเธอจึงจำต้องไปนอนห้องเล็กแทนน้อง แต่จันฉายไม่ได้นึกโกรธเคืองแต่อย่างใด เพราะเธอก็รักน้องไม่ต่างจากพ่อและแม่
“จัน”
“คะแม่”
“แม่กับพ่อคุยกันเรื่องโรงเรียนของหนูแล้วนะ” จู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็เอ่ยถึงเรื่องโรงเรียนของเธอขึ้นมาโดยที่จันฉายไม่รู้เรื่องมาก่อน
“ทำไมเหรอคะ”
“ช่วงนี้การเงินบ้านเราค่อนข้างติดขัด อีกไม่ถึงปีน้องก็ต้องเข้าเรียนแล้ว พ่อกับแม่เลยคุยกันว่าจบเทอมนี้จะให้จันย้ายมาเรียนโรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆ บ้านเรานะลูก”
จันฉายนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาเพื่อให้พวกท่านสบายใจ เธอรู้ตัวและเจียมตัวมาตลอดว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ที่เกิดจากสายเลือดของพวกท่าน เป็นเพียงลูกบุญธรรมที่พวกท่านรับมาเลี้ยงก็นับว่าเป็นบุญคุณนักหนา
“ได้ค่ะ จันเรียนที่ไหนก็ได้” จันฉายตอบอย่างไม่ลังเลและไม่นึกเสียใจเลยสักนิด ไม่ว่าที่ไหนเธอก็เรียนได้เพราะเมื่อก่อนชีวิตของเธอผ่านเรื่องเลวร้ายมามากกว่านี้
นับวันความรักที่ครอบครัวมีให้เธอก็เริ่มจางหายลง ยิ่งลูกสาวแท้ๆ ของบ้านเริ่มโตขึ้นพวกท่านก็ยิ่งรักและเอ็นดูไม่ว่าจะอยากมี อยากได้อะไรก็ไม่เคยขาด จันฉายที่อายุห่างกับน้องเกือบสิบปีทำให้เธอกับน้องไม่ค่อยสนิทกันมากนัก ในตอนที่เธอเรียนมัธยมต้นน้องสาวเพิ่งเข้าอนุบาล ช่วงห่างของอายุเธอกับน้องจึงไม่ค่อยได้คุยกัน
จากเด็กหญิงจันฉายเข้าสู่วัยสาวอย่างเต็มตัวเมื่อจันฉายใกล้จะเรียนจบมัธยมปลายใกล้ที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัย จันฉายตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะพยาบาล แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับชีวิตของเธอเมื่อกิจการของผู้เป็นพ่อกำลังจะล้มละลาย ถูกหมายศาลรวมถึงเจ้าหนี้ตามทวงไม่หยุดหย่อน ทำให้ความหวังการเรียนต่อมหาวิทยาลัยของเธอต้องหยุดลงกะทันหัน
หลังจากเรียนจบมัธยมปลายจันฉายล้มเลิกการเตรียมสอบและตัดสินใจออกหางานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวเพราะยังมีน้องสาวที่ต้องเรียนต่อ จันฉายไม่โกรธพวกท่าน แต่กลับโกรธตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรท่านได้ จันฉายนึกโทษตัวเองที่เป็นตัวซวยเข้ามาทำให้ชีวิตของพวกท่านเจอแต่เรื่องร้ายๆ
“จัน เธอทำงานเยอะไปหรือเปล่า” เสียงเพื่อนร่วมงานร้านกาแฟที่จันฉายทำพาร์ทไทม์เอ่ยขึ้นทำให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิด
“ก็ไม่นะ” เสียงหวานตอบกลับพร้อมกับมือที่กำลังทำงานไม่หยุด
“ตอนเช้าทำร้านกาแฟ ตอนกลางคืนก็ทำร้านอาหาร ไหนจะวันหยุดที่ไปเป็นแม่บ้านอีก นี่เหรอไม่เยอะ”
“ฉันไม่อยากเป็นภาระให้พ่อกับแม่น่ะ” จันฉายเจียมตัวมาตลอดว่าตนเองเป็นแค่เด็กกำพร้าที่พวกท่านอุปการะดูแลส่งเสียให้เรียนจนจบมัธยมปลาย เธอจึงอยากช่วยหาเงินเท่าที่จะทำได้
เงินที่ได้จากการทำงานจันฉายแทบไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง เธอจะให้เงินผู้เป็นแม่ทุกครั้งที่เงินออกเพื่อเป็นค่าเทอมให้น้องสาวที่กำลังขึ้นมัธยมต้น เงินเหล่านั้นเธอเต็มใจให้ท่านโดยไม่เคยนึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย
“เธอก็ยี่สิบแล้วทำไมไม่ออกมาอยู่คนเดียวละ เธออาจจะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้นะ”
“ไม่เอาหรอก จะให้ฉันทิ้งทุกคนได้ยังไงล่ะ พวกท่านมีบุญคุณกับฉันมากนะ” เธอไม่เคยลืมบุญคุณที่พวกท่านรับอุปการะเธอเลย เธอได้มีชีวิตใหม่ก็เพราะพ่อแม่
“จ้าๆ เป็นคนดีเข้าไป”
“ทำงานเถอะ ใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวลูกค้าจะเยอะ”
ช่วงบ่ายของวันหลังจากผ่านพ้นเวลาพักกลางวันของทุกบริษัทไป พนักงานในร้านกาแฟที่ต้องรับลูกค้าจำนวนมหาศาลในเวลาเดียวกันก็ได้พัก จันฉายที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะได้แต่ส่ายหน้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ
“เธอขยันเกินไปแล้วจัน ไม่เมื่อยขาบ้างหรือไง”
“ก็ไม่นะ สงสัยจะชินแล้วแหละ” จันฉายเป็นคนเดียวที่ไม่ได้นั่งพักเพราะเธอไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด
ในขณะที่พนักงานในร้านกำลังนั่งพักเสียงกระดิ่งที่ประตูก็ได้ดังขึ้นบ่งบอกถึงการมาของลูกค้า หญิงสาวรีบวิ่งกลับมาที่เคาน์เตอร์เพื่อรับออเดอร์ของลูกค้าใหม่ที่ไม่คุ้นหน้า
“สวัสดีค่ะรับอะไรดีคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าอีกฝ่ายใบหน้าเคร่งขรึมสวมแว่นตาดำ ใส่สูทราคาแพงจนเธอรู้สึกประหม่าไปด้วย
“อเมริกาโน่เย็น”
“ค่ะ กลับบ้านหรือทานที่ร้านคะ”
“กลับบ้าน” เสียงทุ้มตอบแค่สั้นๆ ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตสีดำส่งให้โดยที่ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายถามต่อ
ไม่นานเกินรอกาแฟที่ลูกค้าสั่งก็ถูกวางตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึมก็หยิบแก้วกาแฟและเดินออกจากร้านไปในทันที
“หล่อแต่เย็นชาจัง” หญิงสาวเผลอบ่นอุบอิบเสียงเบาหวิว ใบหน้าภายใต้แว่นตาดำของเขาหล่อคมคายจนเห็นได้ชัด แต่นิสัยกลับดูเย็นชาจนน่ากลัวไม่น้อย
