ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 ปลอบใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ภูผาก็พานะโมลงมาเดินเล่นที่ริมชายหาด เท้าเปลือยเปล่าย่ำลงบนผืนทรายนุ่ม ๆ ให้ความรู้สึกสบายเท้าและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คลื่นน้ำสีฟ้าครามสาดซัดเข้ามากระทบข้อเท้าครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่าต้องการถ่ายโอนความรู้สึกเจ็บปวดให้ออกไปจากหัวใจ
“ขี่ม้ากันไหม”
เสียงทุ้มถามมาจากทางด้านหลัง ทำให้นะโมที่เดินอยู่ข้างหน้าต้องหันกลับไปมอง
“ไม่เอาหรอกพี่ภู ผมขี่ม้าไม่เป็น กลัวตก”
เขาตอบกลับไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินเล่นต่อ
“เรานั่งเฉย ๆ ก็พอ เดี๋ยวพี่จูงให้ ไม่ตกหรอก”
อีกครั้งที่นะโมต้องหันไปมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอย่างแปลกใจ วันนี้ดูเหมือนเขาจะใจดีเป็นพิเศษ ไม่เหลือเค้าไอ้ผู้ชายคนนั้นที่เขาเจอบนทางม้าลายเลยสักนิด
ภูผาจูงม้าสีน้ำตาลดำที่มีนะโมนั่งอยู่บนหลังม้าเลียบไปตามชายหาด เกลียวคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ ทำให้เกิดจังหวะที่ผ่อนคลาย
ใบหน้าขาวนวลที่ยังมีร่องรอยของความเศร้าเจืออยู่คลี่ยิ้มออกอย่างมาช้า ๆ เหมือนกับว่าความรู้สึกเสียใจมากมายเมื่อคืนจะเบาบางลงไปมาก
“สวยมากเลยนะ”
ภูผาที่จับสายจูงเดินอยู่ข้างม้าตัวใหญ่พูดขึ้นพร้อมทอดสายตามองออกไปยังทะเลกว้าง
“ใช่ ทะเลที่นี่สวยมากเลย”
นะโมตอบรับ เมื่อคิดว่าสิ่งที่ภูผาพูดถึงอยู่นั้นคือท้องทะเลที่กำลังทอประกายระยิบระยับเพราะแสงแดดตกลงมากระทบผิวน้ำ
“พี่ไม่ได้หมายถึงทะเล พี่หมายถึงรอยยิ้มเราต่างหาก”
“ฮะ พี่ภูว่าอะไรนะครับ”
คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าก้มหน้าลงมาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อกี้นั้นมันถูกต้อง
“พี่บอกว่า รอยยิ้มเราน่ะ สวยมากเลยนะ ยิ้มบ่อย ๆ สิ พี่ชอบมอง อย่าร้องไห้เลย น้ำตามันไม่เหมาะกับนะโมหรอก”
แทนที่จะหลบสายตาอย่างทุกครั้ง แต่คราวนี้ภูผากลับจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาคู่สวยของเขาพร้อมคำที่พูดออกมาอย่างชัดเจน ทำเอาเจ้าของรอยยิ้มสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความเขินอาย
“เหนื่อยหรือยัง ไปที่พักกันดีกว่าไหม”
หลังจากที่เดินกันอยู่สักพักใหญ่ ๆ ภูผาก็ถามขึ้นมา
“ผมอยู่บนม้าจะเหนื่อยได้ไง พี่ภูนั่นแหละ เดินอยู่ตั้งนานแล้วเหนื่อยบ้างหรือเปล่า”
นะโมเหลือบมองคนที่ยังเดินจูงม้าให้เขานั่งอย่างกับว่าไม่รู้จักเหนื่อย
“ไม่เหนื่อยหรอก ถ้าทำแล้วนะโมสบายใจพี่ก็ยินดี”
อีกครั้งที่คำพูดของเขาทำเอาคนฟังใบหน้าร้อนฉ่า ถึงจะไม่แน่ใจว่าที่เขาทำมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของนะโมที่พึ่งถูกทำร้ายมาเหมือนจะดีขึ้นเพราะคำพูดของภูผา และที่สำคัญ คำพูดพวกนั้นมันทำให้หัวใจของนะโมเต้นแรงจนแทบจะทะลุหลุดออกมานอกเสื้ออยู่แล้ว
หลังจากเดินเล่นอยู่พักใหญ่ก็ใกล้เวลาพลบค่ำ เมื่อเห็นว่านะโมท่าทางจะเหนื่อยมากแล้วภูผาเลยชวนกลับไปที่พัก
“พี่ว่าเราไปที่พักกันก่อนดีกว่า พี่จองไว้ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวแวะซื้อเสื้อผ้ากันก่อนแล้วค่อยเข้าที่พักนะ”
“นี่พี่เตรียมพร้อมทุกอย่างเลยเหรอ”
ถึงแม้จะค่อนข้างแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภูผากันแน่ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองยังไงยังงั้น แต่นะโมก็ยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย
หลังจากซื้อเสื้อผ้าเสร็จ ภูผาก็ขับรถไปยังที่พักที่จองไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
“เราไปอาบน้ำก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวพี่โทรสั่งอาหารมารอ”
ภูผาบอกกับนะโมที่ยังยืนอยู่ตรงปลายเตียงนอนไม่ยอมขยับไปไหน
“พี่ภู นี่เราสองคนต้องนอนเตียงเดียวกันเหรอครับ”
นะโมถามขึ้น เมื่อสำรวจไปรอบ ๆ บ้านพักริมทะเลที่ภูผาจองไว้แล้วก็พบว่ามีเตียงนอนอยู่แค่เตียงเดียวเท่านั้น
“ใช่ เพราะว่าเป็นวันสุดสัปดาห์ ลูกค้าเยอะก็เลยเหลือแค่ห้องนี้ห้องเดียวน่ะ ถ้านะโมไม่สะดวกพี่นอนโซฟาได้นะ”
“ไม่เป็นไรพี่ ไม่เป็นไร จะให้พี่นอนโซฟาได้ยังไง พี่เป็นคนจ่ายเงินนะ นอนด้วยกันนี่แหละ”
พูดเสร็จนะโมก็รีบคว้าผ้าขนหนูแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปอาบน้ำทันที ขืนยืนอยู่นานกว่านี้มีหวังภูผาคงได้เห็นว่าตอนนี้หน้าเขาแดงจนลามไปถึงติ่งหูแล้ว
“ขอบคุณนะพี่ภู”
“หืม..ขอบคุณเรื่องอะไร”
บทสนทนาเริ่มขึ้นเมื่ออาหารมื้อค่ำได้จบลงไป ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนที่หน้าระเบียงของบ้านพัก สายตาของทั้งคู่ทอดยาวไปทางท้องทะเลที่ถูกความมืดเข้าปกคลุม มีเพียงแสงสว่างจากดวงดาวที่ประดับประดาอยู่บนท้องฟ้า
“ก็ขอบคุณที่พี่พาผมมาวันนี้ไง ถึงไม่รู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่ หรือทำไปทำไม แต่ผมก็ขอบคุณพี่ภูมากนะ มันทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลย จะว่าไปเหมือนพี่กำลังทำทุกอย่างเพื่อปลอบใจผมอยู่เลย”
รอยยิ้มเล็ก ๆ คลี่ออกมา ส่วนสายตายังมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ภูผาที่อยู่ข้าง ๆ นี่สิ กลับหันมามองนะโมตาไม่กระพริบ
“สบายใจขึ้นพี่ก็ดีใจ พี่ยังยืนยันคำเดิมนะ นะโมน่ะ เหมาะที่จะยิ้มมากกว่าร้องไห้”
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของนะโม ไม่เคยคิดว่าผู้ชายปากเสียที่เจอวันแรกจะเป็นคนอบอุ่นขนาดนี้
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยว”
เสียงทุ้มเอ่ยปากบอกคนตัวเล็กกว่าที่พึ่งขยับขึ้นมาบนเตียงให้นอนลงข้าง ๆ เขา
“พรุ่งนี้พี่จะพาผมไปไหนอีกเหรอครับ”
ใบหน้าเล็กหันไปถามอย่างสนใจ ส่วนคนที่โดนถามก็หยัดตัวลุกขึ้นเอามือเท้าหัวไว้แล้วมองหน้าของนะโมเหมือนกำลังคิดคำตอบ
“ไปไหว้พระกันดีไหม วัดห้วยมงคลนี่ดังมากเลยนะ ไปไหว้พระขอพร จะได้สบายใจขึ้นกว่านี้ไง”
ระหว่างที่ภูผากำลังพูดอยู่ นะโมก็จ้องมองใบหน้าหล่อ ๆ นั่นอย่างไม่ละสายตา พลางคิดว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะถึงขนาดนอนกับคนที่พึ่งรู้จักได้ไม่กี่วันก็ไม่ประหม่าเลยสักนิด ต่างจาก นะโมเองที่จิตใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ผมยังไงก็ได้ แต่ว่าตอนนี้รีบนอนกันดีกว่านะ”
พูดเสร็จนะโมก็รีบหันหลังให้คนข้าง ๆ ทันที
“แต่พี่เป็นคนติดหมอนข้างนี่สิ”
ไม่แค่พูด แต่ภูผายังพาดท่อนแขนล่ำ ๆ ลงมาบนตัวของ นะโมอย่างไม่ต้องรออนุญาต
“พะ พี่ภู ผมว่ามัน เอ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าพี่กำลังปลอบใจนะโมอยู่ก็ได้”
ปลอบใจ มีใครบนโลกใบนี้ปลอบใจคนอื่นด้วยการนอนกอดโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตด้วยเหรอ จะขัดก็คงไม่ได้ เพราะลองเขยิบตัวออกแล้ว แต่อ้อมแขนแกร่งนั้นกลับกระชับกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม แล้วนี่จะรู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังทำให้คนอื่นนอนไม่หลับ
/////////
