ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 ขอคืนดี
เช้าวันต่อมา รถของภูผาแล่นเข้ามาจอดข้างในของวัดห้วยมงคล ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก สองคนเดินเคียงคู่จนมาหยุดยืนอยู่ที่บริเวณสำหรับทำการสักการะบูชา
“เขาว่ากันว่า ถ้าใครมาไหว้ขอพรหลวงปู่ทวดแล้วจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยแล้วก็มีโชคลาภด้วยนะ”
ภูผาเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งคู่นั่งลงเพื่อที่จะไหว้องค์หลวงปู่ทวด
“พี่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ”
นะโมหันไปมองหน้าคนที่นั่งพนมมืออยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ค่อยเชื่อหูเท่าไหร่นัก ว่าคนที่น่าจะกินแต่เหล้าไม่เข้าวัดเข้าวาอย่างเขาจะรู้เรื่องความเชื่ออะไรพวกนี้
“ทำไม หรือเราคิดว่าพี่กินเหล้าเป็นอย่างเดียว”
เหมือนมานั่งอยู่ในความคิด ท่าทางอย่างกับเขาจะรู้ทุกอย่างว่านะโมกำลังคิดอะไรอยู่
“ขอให้นะโมมีแต่รอยยิ้มตลอดไป”
แทนที่จะอธิษฐานในใจ แต่ภูผาดันพูดออกมาให้นะโมได้ยินด้วย
“ใครเขาอธิษฐานเสียงดังแบบนี้”
“ก็พี่กลัวพระท่านไม่ได้ยิน เดี๋ยวจะอดเห็นนะโมยิ้ม”
คำตอบของภูผาทำเอาคนที่ฟังอยู่ต้องก้มหน้างุด แล้วก็ทำทีเป็นไหว้พระต่อเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
หลังจากไหว้พระและแวะทานข้าวเที่ยงเสร็จ ภูผาก็ขับรถพานะโมเที่ยวรอบ ๆ เมืองหัวหิน สถานที่เที่ยวมากมายที่นะโมไม่เคยมาเที่ยวภูผาก็พาไปทุกที่ เรียกได้ว่าดูแลเขาอย่างดีตลอดทั้งทริปเลยก็ว่าได้
สองคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันอาทิตย์แล้วก็เป็นวันที่ทั้งสองคนจะต้องกลับกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวเที่ยง ทั้งสองคนก็ช่วยกันเก็บของใส่รถ
“ไม่อยากจะกลับเลย ยังอยากเที่ยวต่ออีกสักหน่อย”
นะโมพูดพลางทำหน้ามุ่ย เมื่อสองคืนที่อยู่ที่นี่มันไม่พอต่อการท่องเที่ยวและพักผ่อน
“ไว้ถ้าว่างจากเรียนแล้วพี่จะพามาอีก ดีไหม”
คนที่กำลังขับรถอยู่หันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่พูดเองนะ ห้ามลืมคำพูดตัวเองล่ะ”
“เรานี่นะ พี่ไม่ลืมหรอก ไว้ปิดเทอมแล้วจะพามาเที่ยวใหม่ ตกลงไหม”
ฝ่ามือหนายกขึ้นมายีผมคนตัวเล็กอย่างหมั่นเขี้ยวพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ
“ตกลงครับ”
รถวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนัก เพื่อคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับจะได้มองทิวทัศน์สองข้างทางได้เต็มตา ระหว่างทางก็มีแวะตรงนั้นตรงนี้บ้าง กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็มืดพอดี
“ขอบคุณนะครับพี่ภู ขับรถกลับดี ๆ นะครับ”
นะโมกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับทำท่าทางโบกมือลาให้ภูผาที่อยู่ข้างในรถ
“เราก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ อย่าร้องไห้อีกล่ะ ขึ้นห้องได้แล้วไป”
“ก็ได้ครับ”
เมื่อตอบรับคำเสร็จนะโมก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในคอนโด เมื่อสองขากำลังจะก้าวพ้นประตูข้างหน้าก็มีเสียงเรียกดังขึ้น
“นะโม”
เขาค่อย ๆ หันหน้าไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นว่าเป็นใครยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“สกาย มาที่นี่อีกทำไม”
คำถามที่ฟังดูไม่ตื่นเต้นหรือดีใจเมื่อเห็นหน้า ทำเอาคนที่นั่งรออยู่นานแล้วหน้านิ่วด้วยความแปลกใจ
“เรามารอนะโม ขึ้นไปข้างบนแล้วแต่รหัสผ่านเข้าไม่ได้”
ไม่แปลกที่สกายจะเข้าห้องของนะโมไม่ได้ ก็เพราะนะโมเปลี่ยนรหัสห้องใหม่ตั้งแต่คืนที่เกิดเรื่อง พร้อมกับยกของที่สกายเคยให้เอาไปทิ้งจนหมด
“สกายกลับไปเถอะ เราไม่มีอะไรจะพูดด้วยหรอก”
เขาตอบกลับไปพร้อมกับหันหลังจะเดินกลับเข้าไปข้างในคอนโด แต่ว่าสกายก็ดึงรั้งแขนไว้ก่อน
“เดี๋ยวสินะโม คุยกันก่อน เราอยากจะขอโทษนะโม อยากจะมาขอคืนดี นะโมจะยกโทษให้โอกาสเราสักครั้งได้ไหม”
ถึงแม้สองวันที่ผ่านมานะโมจะรู้สึกสบายใจขึ้นมามาก แต่แผลในหัวใจมันก็สดใหม่เกินกว่าที่จะลืมหมดทุกอย่าง น้ำใสรื้นขึ้นมาที่ดวงตาคมสวย เขายังรักสกายอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกลับไปคืนดีด้วย เจ็บแล้วก็ต้องจำ
“สกายกลับไปเถอะ เราไม่มีอะไรจะพูดด้วยหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นเรายกโทษให้ก็ได้จะได้ไม่ต้องค้างคา แต่ถ้าจะให้เรากลับไปคืนดีกับสกายเราทำไม่ได้หรอกนะ”
เขาตอบออกไปโดยที่ไม่สบตาอีกฝ่ายทำให้ไม่เห็นว่าสีหน้าของสกายเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากคนที่เหมือนจะรู้สึกผิด กลับกลายเป็นว่ากำลังโกรธที่โดนปฏิเสธ
“ที่นะโมปฏิเสธเราเพราะมันใช่ไหม เพราะไอ้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นใช่ไหม”
นะโมหันไปตามนิ้วมือของสกายที่ชี้ออกไป เลยทำให้เห็นว่าภูผายังอยู่ที่เดิม เขายืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้ารถพร้อมกับกำลังจ้องมองมาที่นะโมกับสกายอย่างไม่ละสายตา
“สกายอย่ามาพาลคนอื่น พี่ภูไม่เกี่ยว มันเป็นเพราะสกายนั่นแหละที่ทำผิด ทำให้เราเสียใจและเจ็บจนไม่อยากจะกลับไปหาสกายอีก”
เขาเงยหน้าสบตาคู่สนทนาแน่วแน่พร้อม ๆ กับสะบัดแขนให้หลุดจากการถูกเกาะกุม
“ดูท่าสนิทกันมาก ที่หายไปสองวันนี่ไม่ใช่ว่าไปเอากับมันมาจนถึงไหนต่อไหนแล้วเหรอ”
“สกาย อย่าคิดว่าคนอื่นจะเลวเหมือนตัวเองได้ไหม”
นะโมส่ายหัวด้วยความหงุดหงิด นอกจากที่สกายไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดขนาดไม่น่าให้อภัยแล้ว เขายังคิดว่านะโมจะทำอะไรเหมือนที่ตัวเองทำอีกต่างหาก
“ทำไม รับความจริงไม่ได้เหรอ ว่าแต่เรา นะโมเองก็มั่วเหมือนกันนั่นแหละ”
“สกาย! เราบอกให้หยุด”
นะโมตวาดคนตรงหน้าเสียงดังลั่น แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อร่างหุ่นนักกีฬาของสกายก็ปลิวตามแรงกระชากจากลำแขนแข็งแกร่งของภูผา ตามมาด้วยหมัดแข็งที่กระแทกเข้าหน้าของสกายอย่างรวดเร็วเกินที่นะโมจะห้ามไว้ทัน
“พี่ภู หยุดครับ พอแล้ว”
นะโมรีบเข้าไปห้ามพร้อมกับรั้งแขนของภูผาที่กำลังยกเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ภูผาจะกระแทกหมัดหนัก ๆ ลงที่ใบหน้าของสกายอีกครั้ง
“ทำไม หรือว่านะโมจะยอมใจอ่อนให้มัน”
“เปล่าพี่ แต่ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ไปกว่านี้ พี่ดูสิ คนมองเต็มหมดแล้ว”
ภูผาเงยหน้าจากคนที่กองอยู่บนพื้นแล้วมองไปรอบ ๆ ก็เห็นกลุ่มคนเริ่มเดินออกมามุงดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขาจึงยอมปล่อยมือจากสกายแล้วหยัดตัวจนเต็มความสูง
“ก็ได้ พี่เห็นแก่นะโมหรอกนะ ส่วนมึง ถ้ายังมายุ่งกับนะโมอีก กูรับรองได้เลยว่ามึงจะไม่หลงเหลือความหล่ออยู่บนหน้าของมึงอีก”
เมื่อพูดกับนะโมเสร็จเขาก็หันไปชี้หน้าสกายที่ยังนั่งกองอยู่บนพื้น
“นะโมขึ้นไปบนห้องเถอะ”
“ถ้างั้นพี่ก็ขับรถกลับดี ๆ นะครับ”
ภูผาพยักใบหน้าคมให้ก่อนที่นะโมจะหันหลังเดินกลับเข้าไปข้างใน เมื่อแน่ใจว่าคนตัวเล็กนั้นขึ้นไปถึงบนห้องแล้วภูผาถึงได้ยอมขับรถกลับคอนโดตัวเอง
///////
