ตอนที่ 2 รักแรกที่เจ็บปวด (2)
เพราะหลังจากวันนั้นเธอก็ทำตัวปกติ มีแอบร้องไห้บ้างเวลาอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดกับเผด็จอีกเลย เจอก็รีบหลบทันที และอีกฝ่ายเองก็ไม่คิดจะร้องทักอย่างเมื่อก่อน และความผิดปกตินั้น ก็ทำให้นางรดานันท์ที่สังเกตมาสักพักอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เรากับตาเผด็จมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ทะเลาะกันเหรอ”
“เปล่าค่ะ แค่ช่วงนี้ทั้งพี่เขาและต้องต่างก็ยุ่งกับการเรียนน่ะค่ะ เด็กมหาลัยจะมามัวแต่วุ่นวายกับเด็กมัธยมได้ยังไงคะ” ต้องรักบอกเสียงแผ่ว พูดขึ้นมาน้ำตาก็พลาดจะไหล ทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เอ้อ แม่เดี๋ยววันนี้ต้องขอออกไปทำรายงานนะคะ”
“อย่ากลับช้าล่ะ” นางรดานันท์อนุญาตทันที เพราะปกตินางเลี้ยงลูกก็ไม่ได้ตึงหรือหย่อนมากจนเกินไป ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ และตอนนี้นางคิดว่าต้องรักควรได้ออกไปอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ให้มากกว่านี้จึงไม่ได้ห้ามอะไร
“ค่า เย็น ๆ ก็กลับล่ะ ช่วงบ่ายต้องขอไปดูหนังด้วยนิดหนึ่งนะคะ” เด็กสาวทำหน้าทะเล้น ก่อนจะยิ้มประจบ
“อย่าเถลไถลล่ะ”
“รับทราบค่ะ” ต้องรักทำท่าตะเบะแล้ววิ่งขึ้นห้องไปเอากระเป๋า “ไปตอนนี้เลยเหรอ”
“ค่า เผื่อเวลาด้วยค่ะ” ต้องรักบอกขณะวิ่งขึ้นบันได เมื่อได้กระเป๋าก็วิ่งกลับลงมา “ไปนะคะ” เด็กสาวยกมือไหว้แล้วเดินออกจากบ้านด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่า...
“นี่เหรอน้องต้องที่อยู่ข้างบ้านนายน่ะ”
“อื้อ” ตอบเสร็จก็เดินหนีเข้าบ้านทันที ไม่แม้แต่จะมองต้องรักที่ยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่สาวคนสวยที่ทักเธอ
“สวัสดีจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ” ต้องรักยกมือไหว้พร้อมกับพยายามยิ้มให้พี่สาวที่น่าจะเป็นลูกครึ่ง เรียกได้ว่าสวยสุด ๆ ไปเลยอย่างเป็นมิตรเท่าที่จะทำได้
“น้องต้องใช่ไหมคะเนี่ย”
“ค่ะ”
“พี่ชื่อปิ่นนะ เป็นแฟนของเผด็จจ้ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่คล้ายกับการประกาศความเป็นเจ้าของ ต้องรักก็ไม่รู้หรอกว่าหลังจากนั้นเธอมีสีหน้ายังไง ได้ตอบกลับอีกฝ่ายไปหรือเปล่า แต่มารู้ตัวอีกที ก็ตอนนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าป้ายรถเมล์แล้ว
มันเจ็บ!
เจ็บไปทั้งใจ!
เจ็บกว่าครั้งไหน ๆ
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นปิ่นปักมาบ้านพร้อมกับเผด็จ เธอก็ไม่เคยทำใจได้เลยสักครั้ง ยังคงเจ็บแปลบไปทั้งใจ หนักเข้าก็ไปแอบนอนร้องไห้บ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนช่วงแรก ๆ
อยากลืมแต่บ้านอยู่ใกล้กัน มันทำให้การตัดใจในครั้งนี้ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน อีกอย่างทั้งสองครอบครัวก็ยังพูดคุยกันเหมือนเดิม แต่คงเพราะเธอกับเผด็จไม่เหมือนเดิมความสัมพันธ์ก็เลยไม่ได้แน่นแฟ้น เหมือนเพื่อนบ้านทั่ว ๆ ไป พูดคุยกันบ้าง มีของฝากบ้าง แต่ไม่มีการชวนไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ถึงจะชวนก็ไม่ค่อยได้ไป นอกจากจำเป็นจริง ๆ อย่างไปกินเลี้ยงฉลองรับปริญญาของเผด็จ
“ยินดีด้วยนะคะ” ต้องรักพูดเพียงเท่านั้นก็ไปนั่งกินแบบเงียบ ๆ มีคนถาม ก็ตอบแบบถามคำตอบคำ แล้วนั่งกินแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ต่อจนกระทั่งกลับบ้าน
“วันนี้พ่อมีเรื่องจะบอกกับทั้งสองคนนะ” นายเมธีที่ไม่ได้มาร่วมฉลองในครั้งนี้ แต่ทำหน้าที่แค่มารับสองแม่ลูกกลับบ้านเอ่ยขึ้นขณะกำลังขับรถ
“เรื่องอะไรคะ”
“พ่อมีโครงการที่จะต้องย้ายงานไปอยู่ต่างจังหวัดน่ะ ไม่ใช่ตอนนี้หรอก แต่บอกเอาไว้ก่อน”
“แบบนี้ยัยต้องต้องย้ายโรงเรียนน่ะสิ” นางรดานันท์พูดพลางหันไปมองลูกสาวที่นั่งเหม่ออยู่ที่เบาะด้านหลัง
“หนูไม่มีปัญหาค่ะ ตอนไหนก็ได้ ตอนนี้เลยยิ่งดี” เด็กสาวตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“จะไม่คิดถึงพี่เผด็จของเราหรือไง” นายเมธีถามยิ้ม ๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อโดนคนเป็นภรรยาที่เข้าที่ต้นแขนอย่างแรงพร้อมกับปรามเสียงเข้ม
“คุณ !”
นายเมธีทำหน้าเหลอหลาถามคนเป็นภรรยากลับแบบไม่มีเสียงอย่างงง ๆ ว่า “อะไร”
“เหมือนจะอกหัก ตาเผด็จมีแฟนแล้ว” นางรดานันท์กระซิบบอกให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เมื่อไหร่”
“ไม่รู้ แต่พักนี้พามาที่บ้านบ่อย ๆ เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” นางรดานันท์ตัดบท เรื่องนี้รู้มาได้สักพักแต่ก็ไม่ได้ถามลูกสาวออกไปตรง ๆ แต่ก็มีการเลียบเคียง ๆ และสังเกตอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ตลอด
นายเมธีพยักหน้ารับ เขาทำงานหนัก บางวันกลับเร็ว บางวันกลับช้าเลยไม่ทันสังเกตว่าลูกสาวของตนเปลี่ยนไป พอมาคิด ๆ ดู เหมือนหลัง ๆ มานี้ ต้องรักจะไม่ได้ไปบ้านและคุยกับเผด็จเลย
ลูกสาวเขาโตจนเรียนรู้เรื่องความรักแล้วสินะ
