บท
ตั้งค่า

จ้าวมู่เฉิน

หลังจากอาบน้ำและแปรงฟันเสร็จ ลี่จูก็เช็ดตัวให้ลูก ๆ อย่างเบามือ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อุ่นและนุ่มมาให้ใส่ ต่าต๋าและต้าเป่ามองเสื้อผ้าอย่างตื่นเต้น พวกเขาช่วยกันแต่งตัวและหัวเราะกันเบา ๆ

"พี่ชาย หนูชอบชุดนี้จัง นุ่มเหมือนผ้าห่มเลย!" ต่าต๋าพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง

"พี่ก็ชอบ" ต้าเป่าพูดแล้วลูบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อยู่บนตัวน้องชายอย่างอ่อนโยน

หลังจากที่ต่าต๋าและต้าเป่าใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ ลี่จูก็หยิบขวดโลชั่นบำรุงผิวมานั่งข้างลูก ๆ ทั้งสองที่กำลังนั่งตัวตรงรออยู่บนโซฟา

"มานี่สิลูก แม่จะทาโลชั่นให้ จะได้ตัวนุ่ม ๆ แล้วก็มีกลิ่นหอมด้วย"

ลี่จูพูดพลางบีบโลชั่นลงบนฝ่ามือ ต่าต๋ามองด้วยความสนใจ แต่ยังคงถามด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ

"แม่จ๋า อันนั้นหอมมากไหม?"

ลี่จูหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปให้ลูกชายสูดดม

"หอมสิลูก มาดมดู" เธอยื่นมือที่มีโลชั่นให้ต่าต๋าดม พอต่าต๋าได้กลิ่นดวงตาคู่เล็กก็เป็นประกายระยิบระยับ

"หอมจริง ๆ ด้วยแม่จ๋า หนูอยากให้แม่ทาเยอะ ๆ เลย!"

"ได้เลยจ้ะคนเก่ง" ลี่จูยิ้มก่อนจะเริ่มทาโลชั่นให้ต่าต๋าอย่างเบามือ

"ทาให้พี่ชายด้วยนะแม่จ๋า"

"ต่าต๋าเป็นเด็กขี้อ้อนที่สุดเลย"

ต้าเป่านั่งข้าง ๆ จึงพูดหยอกน้องชาย ต่าต๋าหันมามองพี่ชายแล้วทำแก้มป่องใส่

"ก็หนูอยากให้ตัวหอมเหมือนพี่ชายนี่นา!"

หลังจากทาโลชั่นเสร็จ ลี่จูก็หยิบแป้งเด็กมาทาที่แขนและขาของลูก ๆ ส่งกลิ่นหอมละมุนอบอวลในห้อง

"เสร็จแล้ว ลูก ๆ หอมมากเลยนะตอนนี้"

ต่าต๋าเอียงตัวดมแขนตัวเองแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

"ฮะ ฮะ ฮะ หนูหอมจริง ๆ ด้วยแม่จ๋า จริงไหมจ๊ะพี่ชาย"

ต้าเป่ายิ้มให้กับความน่ารักของน้องชายก่อนจะลูบหัวน้องเบา ๆ

"ใช่ ต่าต๋าหอมที่สุดเลย"

หลังจากทาครีมทาแป้งเสร็จ ลี่จูก็หยิบผ้าขนหนูมาค่อย ๆ เช็ดผมของลูก ๆ จนแห้งสนิท เธอหวีผมให้ทั้งสองอย่างอ่อนโยนจนผมเรียบเป็นทรง

"เสร็จแล้ว ไปนอนกันเถอะ แม่เตรียมที่นอนนุ่ม ๆ ไว้ให้แล้ว" ลี่จูบอกพลางพาเด็ก ๆ ไปที่เตียง

เมื่อเห็นเตียงที่ปูด้วยผ้าห่มหนานุ่มและตุ๊กตาหมีสองตัววางอยู่ ต่าต๋าตาเป็นประกายทันที

"แม่จ๋า ตุ๊กตาพี่หมี! หนูอยากนอนกับพี่หมี!"

"ได้สิลูก คนละตัวนะ แบ่งกันกับพี่ชาย"

ต่าต๋ารีบหยิบตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งมากอดแน่น ก่อนจะหันไปยื่นอีกตัวให้พี่ชาย

"พี่ชาย นี่ตัวของพี่นะ หนูเลือกให้!"

"ขอบใจมากต่าต๋า"

ต้าเป่ายิ้มกว้างแล้วรับตุ๊กตามาจากน้องชาย ทั้งสองคนปีนขึ้นเตียง นอนเล่นในผ้าห่มหนานุ่มอย่างมีความสุข ต่าต๋ากอดตุ๊กตาหมีของตัวเองแน่นก่อนจะมองไปที่พี่ชาย

"พี่ชาย พี่หมีตัวนี้นุ่มจังเลย หนูชอบมาก ๆ"

"ใช่ พี่ก็ชอบเหมือนกัน"

ต้าเป่าตอบพร้อมยิ้ม ก่อนจะขยับผ้าห่มคลุมตัวให้น้องชาย

"พี่ชาย หนูรักพี่นะ" ต่าต๋าพูดพลางยิ้มหวาน

"พี่ก็รักต่าต๋าเหมือนกัน"

ต้าเป่าตอบกลับพร้อมลูบแก้มน้องชายอย่างหวงแหน ต่าต๋าเป็นเด็กอ่อนแอ ในยามที่ป่วยไข้มักจะมีอาการชักเกร็งจึงทำให้ต้าเป่าเป็นห่วงน้องมาก

"แม่จะไปอาบน้ำนะ ลูก ๆ นอนได้เลยไม่ต้องรอแม่"

ลี่จูมองลูก ๆ ด้วยความอิ่มเอมใจ ก่อนที่ต่าต๋าจะยกมือขึ้นโบกเบา ๆ

"หนูจะรอแม่จ้ะ"

แต่ไม่นานทั้งสองก็เผลอหลับไป หลังจากอาบน้ำเสร็จลี่จูเดินกลับเข้ามาในห้องก็พบว่าลูก ๆ หลับสนิท กอดตุ๊กตาหมีไว้แน่นในอ้อมแขน เธอเดินไปจัดผ้าห่มให้ทั้งคู่

เมื่อส่องกระจกมองดูสภาพของตัวเอง ลี่จูก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอหยิบครีมบำรุงผิวกายมาใช้บำรุงตัวเองบ้าง จากนั้นก็หยิบแผ่นมาส์กมาแปะบนใบหน้าเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น ก่อนจะนอนลงข้างลูกชายทั้งสอง ไม่นานเสียงลมหายใจของพวกเขาก็ดังสม่ำเสมอกันท่ามกลางค่ำคืนที่กำลังจะพัดผ่านไป

อีกฟากหนึ่งของแผ่นดินใหญ่

จ้าวมู่เฉินเดินวนไปมาภายในห้องพักเล็ก ๆ ที่แบ่งกันอยู่กับเพื่อนร่วมงานในโรงงาน เสียงนาฬิกาแขวนผนังดัง ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก แต่ในหัวของเขากลับเงียบราวกับถูกปิดเสียง ความกังวลและความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่เขาไม่หยุด

ตอนนี้โรงงานที่พวกเขาทำงานอยู่ได้คัดพนักงานออกเพราะพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จ้าวมู่เฉินกับซ่งอี้เหรินเป็นหนึ่งในคนที่มีรายชื่อถูกคัดออก ทั้งที่เป็นคนที่ขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบ

"เราจะเอายังไงกันดี อี้เหริน?"

มู่เฉินเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่อยู่หมู่บ้านใกล้กัน ซ่งอี้เหรินที่กำลังนั่งพิงผนัง ใบหน้าซีดเซียวขมวดคิ้วแน่นพรางถอนหายใจยาว

"เฮ้อ..ฉันก็คงต้องกลับบ้านไปหาครอบครัว จากบ้านมาก็หลายปีแล้ว ตอนนี้ที่หมู่บ้านพอจะมีที่ดินให้ทำกิน อย่างน้อยกลับไปเริ่มใหม่กับครอบครัวก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ต่อ"

มู่เฉินพยักหน้าช้า ๆ คำพูดของอี้เหรินทำให้เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่เฉินหยิบจดหมายฉบับล่าสุดจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดมันออกมาอ่านอีกครั้ง แม้จะอ่านซ้ำเป็นสิบรอบแล้วก็ตาม

"ต้าเป่ากับต่าต๋ากินอิ่มนอนหลับ อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ขอให้พี่ตั้งใจทำงานเพื่อครอบครัวของเรา"

คำว่า "ทำเพื่อครอบครัว" ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก ใบหน้าของลูก ๆ ผุดขึ้นมาในความคิด ลูกแฝดที่เขาไม่เคยได้เห็นหน้า ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะโตขนาดไหนแล้ว

"ฉันก็คงต้องกลับบ้านเหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็ก ๆ จะโตขนาดไหนแล้ว"

"ถ้างั้นตกลงตามนี้ เดี๋ยวเราจะไปซื้อตั๋วรถไฟรอบค่ำ ฉันว่าเราเก็บของกันเลยดีกว่า"

มู่เฉินเห็นด้วยสิ่งที่อี้เหรินพูด ทั้งสองคนเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก ก่อนจะรีบตรงไปยังสถานีรถไฟ

สถานีที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน เสียงประกาศดังข้ามลำโพง ผู้โดยสารต่างรีบร้อนแบกสัมภาระขึ้นลงรถไฟ มู่เฉินกับอี้เหรินเดินฝ่าฝูงชนไปยังช่องขายตั๋ว ตั๋วชั้นประหยัดสำหรับรถไฟรอบค่ำที่พวกเขาต้องการถูกขายไปจนเกือบหมด ยังโชคดีที่พวกเขามาทันเวลา ทั้งสองคนหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางไปยังชานชาลาเพื่อเตรียมขึ้นรถ

"โธ่เอ้ย ชั้นประหยัดนี่แออัดจริง ๆ"

อี้เหรินบ่นเบา ๆ ขณะพยายามหาที่ว่างบนรถไฟ มู่เฉินได้ยินแบบนั้นจึงหัวเราะแห้ง ๆ

"ก็ยังดีกว่าไม่มีที่นั่งเลย"

พวกเขาหาที่นั่งแคบ ๆ บนม้านั่งไม้ภายในโบกี้ชั้นประหยัด คนโดยสารแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ขยับตัว กลิ่นอับชื้นจากสัมภาระและเสียงพูดคุยที่ดังทั่วโบกี้ทำให้บรรยากาศแลดูอึดอัด แต่ความหวังที่จะได้กลับบ้านทำให้พวกเขาจำต้องทนให้ได้

ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรที่ต้องใช้เวลานานถึง 13 ชั่วโมงในการเดินทาง มู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง กระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นและละอองน้ำค้าง สะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าเป็นริ้วบาง ๆ

"มู่เฉินนายคิดอะไรอยู่ คิดถึงบ้านเหรอ?" อี้เหรินถามพลางหยิบขนมปังแข็ง ๆ จากกระเป๋าขึ้นมาเคี้ยว

"อื้อ คิดถึงคนที่บ้าน ไม่รู้ว่าลูก ๆ จะยอมให้ฉันเข้าใกล้ไหมถ้าได้เจอหน้ากันครั้งแรก"

ขณะที่มู่เฉินพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแสดงถึงความหวังก่อนที่จะมีรอยยิ้มเล็กน้อย ในยามที่จินตนาการว่าลูกทั้งสองจะหน้าตาเหมือนใคร

"นายอย่างคิดมาก ไม่แน่ว่าพวกเค้าอาจจะรอเจอหน้านายอยู่ก็เป็นได้ ว่าแต่นายเคยคิดบ้างไหมว่าลูกของนายจะหน้าตาเหมือนใคร?"

รอยยิ้มแห่งความคิดถึงผุดขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉิน

"เหมือนแม่ของพวกเค้าก็ดี ลี่จูในตอนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีความงามโดดเด่นในหมู่บ้าน ใบหน้ารูปไข่ได้สัดส่วน ผิวขาวนวลราวกับหยกเนื้อดี ดวงตากลมโตเปล่งประกายอ่อนโยน คิ้วเรียวได้รูปเหมือนถูกวาดขึ้นอย่างประณีต จมูกเล็กโด่งรับกับริมฝีปากบางอมชมพูที่มักเผยรอยยิ้มอย่างไร้เดียงสา"

"พอเลย ๆ นายจะมาทำตัวเป็นพวกคลั่งภรรยาแบบนี้ไม่ได้ ฉันอยู่หมู่บ้านเดียวกับเสี่ยวจู ฉันรู้หรอกน่าว่าเมียนายหน้าตาดี"

ซ่งอี้เหรินได้ทีก็แสดงออกถึงความอิจฉา ในยามที่ได้เห็นสหายกลายเป็นพวกคลั่งภรรยาแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

"ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายตอบกลับมาว่าลูก ๆ กินเก่งและอ้วนท้วนสมบูรณ์ มันทำให้ฉันมีแรงฮึดสู้ ความยากจนมันบีบบังคับให้เราต้องดิ้นรนหาเงินส่งกลับไปให้ลูกเมีย ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นห่วง แต่ก็หวังว่าพ่อแม่จะช่วยดูแลพวกเขาได้"

รอยยิ้มของมู่เฉินปะปนด้วยความสุขและความเศร้า เขาไม่รู้เลยว่าจดหมายที่เขาได้รับและตอบกลับมาเสมอนั้น เป็นหลี่ยั่วถงที่แอบเขียนตอบกลับ ส่วนลี่จูไม่เคยล่วงรู้เลยว่ามู่เฉินเขียนกลับไปหาเธอกับลูก ๆ เสมอ

"สักวันทุกอย่างต้องดีขึ้น ฉันยังมีความหวังว่าวันนั้นจะมาถึง"

ซ่งอี้เหรินจ้องมองสหายที่อยู่ตรงข้ามอย่างนับถือ มู่เฉินห่างจากลูกเมียมานานปี แต่กลับไม่สั่นคลอนหวั่นไหว

จ้าวมู่เฉินในวัยย่างเข้า 30 มีรูปร่างสูงโปร่งกำยำจากการทำงานหนักในโรงงานมาหลายปี ผิวของเขาแม้จะคล้ำแดด แต่ยังคงเรียบเนียน ผสมกับกรอบหน้าชัดเจนและคิ้วเข้มที่รับกับดวงตาคมเหมือนพญาเหยี่ยว ทำให้เขาโดดเด่นในกลุ่มคนงานชายทั่วไป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปที่มักจะมีรอยยิ้มมุมปากติดอยู่เสมอ

แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวให้ดูดี แต่เพียงเสื้อเชิ้ตเก่ากับกางเกงผ้าหยาบธรรมดา ก็ไม่อาจปิดบังเสน่ห์ที่แฝงอยู่ในตัวเขาได้ เขาเป็นคนอัธยาศัยดีจนเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานเสมอ

แม้จะมีสาว ๆ หลายคนในโรงงานแอบปลื้มในความหล่อเหลาและท่าทางเป็นมิตรของเขา บางคนถึงขั้นนำขนมมาฝากหรือหาโอกาสคุยด้วย แต่หัวใจของมู่เฉินกลับมั่นคงต่อครอบครัวเสมอ ทุกครั้งที่ถูกแซว เขาจะยิ้มเล็ก ๆ ก่อนตอบกลับอย่างสุภาพว่า...

'ผมมีเมียกับลูกแล้ว พวกเขารอข้าอยู่ที่บ้าน'

คำตอบที่หนักแน่นไม่ได้ลดความชื่นชมจากเหล่าสาว ๆ กลับยิ่งทำให้พวกเธอเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ทั้งมีเสน่ห์และมีความรับผิดชอบ

ในโรงงานมีหัวหน้างานชื่อ เถียนกั๋วเฉียง ชายวัยกลางคนที่แอบชอบหญิงสาวคนหนึ่งในโรงงานเช่นกัน เมื่อเขารู้ว่าหญิงสาวนั้นชื่นชอบมู่เฉินและมักพูดถึงเขาอย่างชื่นชม ความริษยาในใจของกั๋วเฉียงก็ค่อย ๆ ก่อตัว

แรก ๆ มู่เฉินไม่ใส่ใจคำพูดพวกนั้น เพราะเขาคิดว่ากั๋วเฉียงคงเพียงแค่พูดเล่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป กั๋วเฉียงเริ่มกลั่นแกล้งมู่เฉินในเวลาทำงาน เช่น โยนงานหนักที่ไม่สมเหตุสมผลให้เขาทำ หรือกล่าวโทษเขาในความผิดที่ไม่ได้ก่อ

จนกระทั่งถึงวันที่โรงงานมีคำสั่งปลดคนงาน และให้หัวหน้างานคัดคนงานที่ด้อยคุณภาพและมีประวัติขาด ลา มาสายออกจากงาน กั๋วเฉียงใช้ตำแหน่งหัวหน้าเป็นเครื่องมือในการปลดมู่เฉินกับซ่งอี้เหริน และพนักงานอีกหลายคนที่เขาไม่ชอบใจออกทั้งหมด

"ฉันก็หวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็ว ๆ หลายครอบครัวจะได้ไม่ต้องแยกกันอยู่เหมือนพวกเรา บางครั้งฉันก็กลัว...กลัวว่าพวกเขาจะโตมาโดยที่ไม่รู้สึกว่ามีฉันอยู่ในชีวิต"

มู่เฉินยิ้มจาง ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความเศร้า

"ไม่เอาน่า อย่าคิดแบบนั้น ถ้าพวกเค้ารู้ว่านายประหยัดอดออมเพื่อพวกเค้าขนาดไหน? เจ้าเด็กแฝดนั่นต้องเห็นนายเป็นวีรบุรุษที่ควรเอาเป็นแบบอย่างแน่ ๆ"

"หึ นายก็พูดเกินไป นอนพักสักหน่อยเถอะ ตื่นมาก็คงเช้าพอดี"

สองสหายมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงแสงจันทร์และดวงดาวส่องระยิบระยับอยู่บนฟ้า เสื้อกันหนาวตัวเก่าถูกกระชับเพื่อความอุ่นกาย ในตอนนี้ฤดูหนาวกำลังคืบคลานเข้ามาเยือนทีละนิด ๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel