ตอนที่ 2 | อย่าลืมเผื่อใจ
วันต่อมา
บ้านจางเหว่ย
เยว่ซินอยู่ในชุดตัวเดิมที่ใส่ในงานแฟชั่นวีก เธอสาวเท้าเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ด้วยท่าทีเหนื่อยล้า ใบหน้าน่ารักค่อนข้างโทรมราวกับคนไม่ได้นอน
“ลูกสาวแม่กลับมาแล้ว” ดาวิกาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาสวมกอดลูกสาว โดยมีสามีเดินตามหลังมาติด ๆ “พักผ่อนหรือเปล่าเนี่ยเรา ดูสิ…หน้าตาหมองคล้ำหมดแล้ว” มือบางทั้งสองข้างกอบกุมใบหน้าอวบอิ่มของไว้ลูกสาวหลวม ๆ ด้วยความห่วงใย
“ที่นู่นวุ่น ๆ นิดหน่อยค่ะ ว่าแต่พี่ธามถึงไทยแล้วใช่ไหมคะ?”
“จ้ะ ถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“มาถึงก็ถามหาผู้ชายก่อนเลยนะคุณลูกสาว” จางเหว่ยเอ่ยขึ้นทีเล่นทีจริงอย่างต้องการเย้าแหย่ลูกสาว
“มันแน่อยู่แล้วค่ะ คู่หมั้นกลับมาทั้งที แต่พี่ธามน่ะสิ ไม่ยอมรับสายหนูสักที” เยว่ซินจิ๊ปากขึ้นอย่างนึกน้อยใจคนใจดำ แต่ถึงกระนั้นเธอไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ นอกซะจากทำใจให้ชินแต่…
“ยังไม่ชินอีกหรือไง?”
“ก็อยากชินแหละค่ะ แต่ทำไม่ได้สักที” ใบหน้าน่ารักหมองลงทันที เมื่อนึกถึงเรื่องที่ทำให้ปวดใจ
“สู้ให้เต็มที่ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้ถอยออกมานะลูก แม่ไม่อยากให้ลูกเสียใจ”
“ค่ะ ซินจะไม่มีวันให้ถึงวันนั้นหรอกค่ะ เพราะแต่ซินจะทำให้พี่ธามรักซินด้วยใจจริงให้ได้”
“อย่าลืมเผื่อใจไว้ล่ะ ยังไงซะพ่อกับแม่ก็ยอมรับการตัดสินใจของลูก”
“ขอบคุณค่ะ”
“เอาล่ะ ลูกกลับมาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนก่อนเถอะจ้ะ”
“ค่ะ” เยว่ซินก้าวเดินขึ้นบันได ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงตุ่นยกยิ้มอยู่อย่างนั้น เพราะในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าหล่อ ๆ ของคู่หมั้นหนุ่ม ที่ไม่เจอกันนานหลายปี นึกถึงทีไรเธอก็มีความสุขทุกครั้ง แม้ว่าเขาจะเย็นชาใส่ทุกครั้งที่เจอกันก็ตาม
บ้านวิทสุทธิ์
17:45 น.
รถเบนซ์สีขาวราคาแพงขับเคลื่อนเข้ามาจอดในโรงจอดรถของคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่นานเจ้าของรถหรูก็ปรากฏตัวพร้อมกับช่อดอกทิวลิปสีม่วงช่อใหญ่ และ มืออีกข้างถือถุงกระดาษที่มีโลโก้แบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์ดัง
เยว่ซินอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ชายเสื้อถูกจับยัดเข้าใต้กระโปรงยีนทรงเอสีน้ำเงิน ที่มีความยาวถึงต้นขาขาวหนึ่งข้าง เธอหลุบตามองช่อดอกไม้ในมืออย่างเชยชม ริมฝีปากอวบอิ่มเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ แล้วจึงสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ อย่างทำใจไม่ให้ตื่นเต้น ก่อนจะสาวเท้าเดินบนรองเท้าคัทชูสีครีมสูงถึงห้านิ้วเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่
“สวัสดีค่ะคุณหนูเยว่ซิน” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านเสียงของคนมีอายุเอ่ยทักทาย แย้มเป็นหัวหน้าแม่บ้าน คนเก่าคนแก่ของตระกูล วิทสุทธิ์
“สวัสดีค่ะ”
“ไม่เจอกันนาน คุณหนูของป้าสวยขึ้นมาก ๆ เลยนะคะ”
“แย้มเองก็สวยเปล่งปลั่งไม่เปลี่ยนเหมือนกันค่ะ”
“คุณหนูของแย้มก็ ชมกันเกินไปแล้ว”
“แฮ่ ๆ” เยว่ซินหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกลางออกมาจากถุงกระดาษ “ผ้าพันคอคอลเลคชั่นใหม่ของฝากจากฝรั่งเศสค่ะ”
“แย้มเกรงใจไม่กล้ารับหรอกค่ะคุณหนู”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หนูตั้งใจซื้อมาฝาก”
แย้มน้ำตาคลอหน่วย ซึ้งที่หญิงสาวยังนึกถึง
“ขอบคุณนะคะคุณหนู”
“ยินดีค่ะ แล้วทุกคนล่ะคะ”
“อยู่ในห้องรับแขกค่ะ แย้มพาไปนะคะ”
“ค่ะ” ทั้งสองสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องรับแขก แต่ต้องหยุดฝีเท้าในเวลาต่อมา เมื่อชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาผิวขาว ทรงผมคอมม่ามีหน้าม้าราวกับอปป้า แต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับข้อแขนโชว์นาฬิกาเรือนแพง ยัดชายเสื้อเข้าใส่ใต้กางเกงสแล็คสีดำ เดินออกมาจากห้อง…ห้องหนึ่งพอดี
ตึกตัก ~ เยว่ซินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงในความหล่อดูดีของร่างสูงที่โหยหา ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นแรงไม่เป็นส่ำ จนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง เขาหล่อมาก ๆ ตอนเด็กว่าหล่อแล้ว โตมายิ่งหล่อเข้าไปอีก
ส่วนธามไทยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ทั้งที่รู้สึกทึ่งกับพัฒนาการของผู้หญิงที่ตามตื๊อเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ใบหน้าเธอกลมป่องเหมือนเดิม ปากนิด จมูกหน่อย ถือว่าน่ารักใช้ได้ รู้สึกว่าผอมลงกว่าแต่ก่อนนิดหน่อย
“พี่ธาม!” เสียงแจ๋น ๆ ดังขึ้นเสียงดัง ก่อนที่เธอจะวิ่งมาหยุดตรงหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส “หล่ออะ คิดถึงจังเลย”
ธามไทพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ ล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงพลางเบนสายตามองไปทางอื่น ท่าทางกระดี๊กระด๊าของเธอสร้างความรำคาญใจให้เขาไม่น้อย
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ” เยว่ซินยื่นช่อดอกไม้ไปตรงหน้าคู่หมั้นหนุ่ม เพื่อแสดงความยินดี แม้ว่าเขาจะเฉยเมยกับเธออย่างเคยก็ตาม
ธามไทหลุบตามองช่อดอกไม้ในมือหญิงสาวนิ่ง ๆ ก่อนจะรับมาถือไว้อย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่สามารถทำให้หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างจนตาเป็นรูปสระอิได้ จากนั้นก็สาวเท้าเดินผ่านไม่สนใจ ทว่ากลับต้องหยุดเดิน…
“เดี๋ยวสิคะ ซินยังมีของให้พี่อีกค่ะ” คิ้วหนาขมวดยุ่ง เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาขวางหน้า พลางล้วงหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกลางออกมาจากถุงกระดาษ ก่อนจะยื่นมาตรงหน้า รอยยิ้มร่าเริงสดใสยังประดับบนใบหน้ากลมราวกับลูกซาลาเปาไม่จางหาย
“รับไปสิคะ อย่าเอาแต่มอง”
“ฉันไม่ต้องการ” คำตอบตรง ๆ ของชายหนุ่ม ทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไปทันที แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยิ้มแล้วพูดอย่างขำ ๆ กลบเกลื่อน และ ถือวิสาสะยัดกล่องสี่เหลี่ยมใส่ในมือของชายหนุ่ม “รับ ๆ ไปเถอะค่ะ อย่าขัดน้ำใจคนให้”
“นี่เธอ!”
“ให้แล้วไม่รับคืนนะ มีชิ้นเดียวในโลกด้วยห้ามทำหายล่ะ” เยว่ซินตีหน้ามึน เมื่อจบประโยคจึงขยิบตาให้อย่างทะเล้น แล้วก้าวขาเดินผ่านคนตัวสูง แต่ไม่วายเอี้ยวหน้ากลับไปพูด “ รีบ ๆ ตามมานะคะ”
ธามไทมองตามแผ่นหลังเล็กพลางพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างระอา
“ยิ้มให้คุณหนูเยว่ซินบ้างสิคะ สงสารเธอ แย้มไม่เคยเห็นคุณหนูยิ้มให้เธอเลยสักครั้ง” แย้มแม่บ้านอาวุโสกล่าวอย่างรู้สึกเห็นใจหญิงสาว เธอทราบดีว่าคุณหนูของเธอไม่ได้ชมชอบคู่หมั้น แต่ที่ยอมหมั้นหมาย เพราะไม่อยากขัดบิดาที่เป็นโรคหัวใจ อีกทั้งครอบครัวทั้งสองฝ่ายยังทำสัญญากันตั้งแต่คุณหนู ๆ ยังไม่ลืมตาดูโลก ทว่าตั้งแต่เด็กยันโตเป็นผู้ใหญ่ คุณหนูของเธอยังคงเมินเฉยต่อคู่หมั้นเช่นเดิม ต่างจากหญิงสาวเธอ ยิ้มง่าย ร่าเริง สดใส ช่างพูดช่างเจรจา อยู่ด้วยแล้วสบายไม่เหงา
ธามไทมองหน้าหญิงชรานิ่ง ๆ สักพักโดยไม่ได้ออกความเห็นอะไร “แย้มเอาดอกไม้ไปใส่แจกันแล้วกันครับ ฝากกล่องนี่ให้เด็กไปเก็บที่ห้องด้วยนะครับ”
เมื่อยื่นช่อดอกไม้และกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกลางให้กับหญิงชรา หมอหนุ่มจึงสาวเท้าเดินไปทันที โดยมีสายตาของหญิงชรามองตามแผ่นหลังไปด้วยสีหน้าท้อใจ เพราะไม่ว่าเธอจะพูดช่วยหญิงสาวอย่างไร ทว่าคุณหนูของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าใส่ใจหรือทำตามที่เธอแนะนำ
