ตื๊อรักหมอคู่หมั้น

96.0K · จบแล้ว
Kids room
49
บท
9.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“หยุดตามตอแยฉันเถอะเยว่ซิน ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อนอย่างเธอ หน้าตารูปร่างเธอฉันก็ไม่ชอบ”

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันดีไซเนอร์แต่งงานสายฟ้าแลบหมอนางเอกเก่งดราม่าโตมาด้วยโรแมนติก

บทนำ

​บทนำ

บ้านวิทสุทธิ์

ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลา สูงราว ๆ ร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไว้ผมรองทรงอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย บุคลิกเงียบขรึม เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง พูดน้อย ยิ้มยาก เดินเข้ามาหย่อนตัวนั่งบนโซฟาตัวยาว ตรงข้ามกับบิดาและมารดา ที่นั่งรอในห้องรับแขกก่อนนานแล้ว

“เรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ?” ธามไทเปิดประเด็นถามผู้เป็นพ่ออย่างไม่รีรอพร้อมกับสบตานิ่งรอคำตอบ

“เลือกไปเรียนหมอที่อเมริกา ไม่คิดจะบอกพ่อกับแม่หน่อยหรือไง? แม่แกไปเจอผลสอบที่ห้องแก ยังเห็นหัวพ่อกับแม่อยู่ไหม ถึงได้ตัดสินใจเองโดยไม่ปรึกษาใคร” วิทสุทธิ์เจ้าของโรงพยาบาลวรเชษชื่อดังมองลูกชายเพียงคนเดียวอย่างตำหนิแววตาปนโกรธกลาย ๆ โดยมีภรรยาอย่างไพรินนั่งบีบมืออยู่ข้าง ๆ เพื่อเตือนสติสามีให้ใจเย็น ไม่ให้ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ถึงเธอจะน้อยใจลูกชายเพียงใด ที่ไปเรียนต่อไกลหูไกลตาโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ แต่เธอก็ภูมิใจในความสามารถของลูกชายเช่นกัน

ธามไทเรียนเก่งมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้ผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ผิดหวัง แม้ว่าจะหัวดื้อไปบ้างบางที แต่ส่วนใหญ่จะเชื่อฟังมากกว่าต่อต้าน

“ผมยอมรับผิดครับ” ธามไทกล่าวตอบน้ำเสียงเรียบ ๆ ไร้ซึ่งคำอธิบาย ใบหน้าหล่อไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาอย่างเคย

“ดี! แกโตแล้วนี่ ตัดสินใจเองได้ พ่อกับแม่คงไม่สำคัญกับแกแล้วสินะ” วิทสุทธิ์เอ่ยอย่างตัดพ้อแกมประชดประชัน

“น้อยใจลูกเป็นเด็ก ๆ ไปได้คุณ ลูกคงรู้แหละว่ายังไงเราก็ให้ลูกไป ปรึกษาหรือไม่ปรึกษาก็เหมือนกัน ใช่ไหมตาธาม?” ไพรินเอ่ยขึ้นเพื่อช่วยลูกชาย เธอเข้าใจและเชื่อในตัวลูกชายว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง แต่ในความเป็นแม่เธอก็อดห่วงไม่ได้ ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดนเพียงลำพัง

ธามไทเพียงพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้เป็นแม่ เหตุผลหลัก ๆ ที่เลือกไปต่างประเทศ เพราะต้องการหาประสบการณ์และศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางที่ตัวเองสนใจ แม้ว่าต้องใช้เวลานานหลายปีก็ตาม ส่วนเหตุผลรองเขาอยากหนีใครบางคน

“หลังจากที่แกเรียนจบ ฉันจะยกโรงพยาบาลให้แกบริหารต่อ แล้วจะจัดงานหมั้นให้แกกับหนูเยว่ซิน ฉันจะได้หายห่วงเสียที”

เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมาย ทำเอาธามไทหลับตาพลางผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างเบื่อหน่าย เขาถูกพูดกรอกหูมาตั้งแต่อายุสิบหก ปฏิเสธไปไม่รู้กี่สักครั้งผู้เป็นพ่อยังยืนกรานหลังชนฝา เรื่องอื่นผู้เป็นพ่อมักตามใจทุกอย่าง ยกเว้นซะแต่เรื่องหมั้น โดยใช้เรื่องโรคหัวใจที่ตัวเองเป็น เป็นข้ออ้าง ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ก่อนตายก็อยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน และ ไม่อยากผิดสัญญากับเพื่อนรัก ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันสมัยหนุ่ม ๆ กระทั่งมีเงินมีทองจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเขาก็จนปัญญาจะหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ทำได้เพียงยื้อเวลาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาทางออกที่ดีกับทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็รอให้ฝั่งนู้นเลิกยุ่งไปเอง

“ธามจะไปเรียนต่อก็บอกน้องด้วยนะ”

“เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละครับ”

“ธามไปต่างประเทศนานหลายปี น้องรู้จากปากคนอื่นจะเสียความรู้สึกเอาได้นะ สู้ธามบอกน้องเองไม่ดีกว่าเหรอ” ไพรินโน้มน้าวลูกชาย เธออยากให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย และเธอรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาลูกชายพยายามเลี่ยงที่จะเจอลูกสาวเพื่อนสามีมาโดยตลอด แต่เธอพูดอะไรมากไม่ได้

ธามไทที่ไม่ชอบพูดมาก เขาได้แต่ถอนหายใจออกมายาว ๆ

“พรุ่งนี้วันเสาร์น้องมาติวอังกฤษกับแก แกก็บอกน้องไปตรง ๆ ซะ เรียนหมอต่างประเทศใช้เวลาอย่างต่ำหกถึงแปดปี ไม่ใช่เวลาน้อย ๆ” หลังจากที่สิ้นเสียงวิทสุทธิ์ออกคำสั่งกับลูกชายมากกว่าบอกกล่าวธรรมดา เสียงแหลมของหญิงสาวดังตามขึ้นมาทันทีดึงความสนใจ

“ต่างประเทศ!!” ทุกคนต่างหันมองไปที่เด็กสาวชุดนักเรียนมัธยมต้น รูปร่างท้วมความสูงหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้ากลมตาชั้นเดียวแก้มป่องน่าหยิกคล้ายลูกซาลาเปา ผมสั้นน่ารัก เธอยืนข้าง ๆ มารดามองไปยังเจ้าของใบหน้าหล่อสีหน้าอึ้งช็อกเหมือนจะร้องไห้อยู่หน้าประตูทางเข้าห้องรับแขก แต่ธามไทกลับเบนหน้าหนีไปทางอื่นไม่สนใจ

“ดาทำคุกกี้สูตรใหม่มาให้ลองชิมค่ะ” ดาวิกาเอ่ยออกไปทำลายสถานการณ์ตึงเครียด หลังจากหันมองท่าทีของลูกสาวที่ยังยืนนิ่งเป็นหิน เธอรู้ว่าลูกสาวเสียใจกับสิ่งที่บังเอิญได้ยิน

“ขอบคุณค่ะคุณดา นั่งก่อนค่ะ” ไพรินเหลือบมองหน้าลูกชายแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยสนทนากับคนที่เข้ามาใหม่ ซึ่งสนิทสนมกันมานาน เสมือนเครือญาติกัน

ดาวิกาพยักหน้ารับอย่างสุภาพพลางจับมือลูกสาวพาไปนั่งยังโซฟา ซึ่งทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเด็กสาวอายุสิบสี่ย่างเข้าสิบห้าในอีกไม่กี่เดือน

“พี่ธามจะไปนานหรือเปล่าคะ?” เยว่ซินพยายามประคับประคองสีหน้าและน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือถามเจ้าของใบหน้าหล่อทันทีที่ตั้งสติได้ เธอต้องใจเย็น ต้องมีเหตุผล แม้ภายในใจร้อนรนเพียงใดก็ตาม แต่แล้วคำถามกลับไร้ซึ่งคำตอบ เขาเย็นชาใส่เธอเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เธอพยายามทำใจให้ชินแล้ว แต่ไม่เคยทำได้เสียที

“พี่ธาม”

“…” ธามไทถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สามอย่างรำคาญ เมื่อถูกผู้เป็นพ่อส่งสายตาดุเชิงบังคับให้ตอบ “ก็คงนาน”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วหันไปยกมือไหว้ลาหญิงวัยกลางคน มารดาของคู่หมั้นตามมารยาท ก่อนจะเดินไปทันทีโดยไม่รอคำตอบจากผู้ใหญ่ สร้างความโมโหให้แก่ผู้เป็นพ่อยิ่งนัก

“เจ้าเด็กคนนี้นี่!”

“เยว่ซินลูก!”

เยว่ซินทนนั่งอยู่เฉยทำไม่ได้ เธอผุดตัวลุกขึ้นเร่งฝีเท้าเดินตามธามไทออกไปหวังถามไถ่ให้รู้เรื่อง โดยมีเสียงของผู้เป็นแม่ขานเรียกตามหลัง แต่เธอก็ไม่สนใจ ความใจเย็นที่เคยมีขาดผึ่ง

“เดี๋ยวสิพี่ธาม” เธอวิ่งไปอ้าแขนขวางหน้าคนตัวสูง สู้สบตาอย่างไม่ยอมแพ้

“หลีกไป” คิ้วเข้มขมวด

“จะไปเรียนกี่ปีตอบซินมาก่อน”

ธามไทเลือกที่จะไม่ตอบ มือหนาปัดเรียวแขนของเยว่ซินลงอย่างไม่แรงแล้วเบี่ยงเท้าเดินไป แต่แล้วท่อนแขนแกร่งกลับถูกกระชากด้วยฝีมือของคนตัวเตี้ย เรี่ยวแรงที่มีมากตามขนาดตัวของเธอ แต่ก็น้อยกว่าเขาอยู่ดี

“แปดปี”

“แปดปี!!” เยว่ซินทวนคำพลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำตอบที่ได้รับ

“พอใจแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไปสักที”

“ซินรอพี่นะ แต่ถ้าพี่ไม่ยอมกลับ ซินจะไปตามถึงที่”

แววตาเอาจริงเอาจังและนิสัยที่ไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ของเยว่ซิน ทำเอาธามไทหวั่นใจอยู่ไม่น้อย

“หยุดตามตอแยฉันเถอะเยว่ซิน ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อนอย่างเธอ หน้าตารูปร่างเธอ ฉันก็ไม่ชอบ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกตรง ๆ แต่กลับทำให้คนฟังเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจ จนแทบพูดไม่ออก

“...”

“ทะ...ที่พูดมาไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกคออย่างฉับพลัน วาจาร้ายกาจของเขาทำเธอจุกหน่วงไปทั่วกลางอกได้ทุกครั้งไป

“...” ธามไทเงียบไม่ตอบแล้วหมุนตัวเดินขึ้นขั้นบันไดไปทันที ที่เห็นน้ำสีใสหลั่งไหลออกจากดวงตารูปสระอิของเยว่ซิน

“พี่เป็นคู่หมั้นซิน! เรียนจบเมื่อไหร่ ซินจะตามพี่เป็นเงาเลยคอยดู ไม่ยอมถอยง่าย ๆ หรอก!” ตะโกนออกไปสุดเสียง โมโห น้อยใจ อยากเอาชนะ และ ความรู้สึกต่าง ๆ อีกมากมายที่พากันโถมซัดเข้าใส่

เธอถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ปาดน้ำตา พยายามบอกตัวเองให้เข้มแข็ง ก่อนจะล้วงเอาช็อกโกแลตของโปรดจากกระเป๋ากระโปรงออกมาแกะซอง เอาเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยใบหน้าหงิกงอเปื้อนน้ำตา