บทที่ 9 เริ่มซ่อมแซมบ้าน
ครั้งนี้พ่อลู่ไม่อิดออดอีกเขาเจ็บขามากจริง ๆ เมื่อจ้าวอิงยืนยันว่าหมอได้สอนนางมาแล้วเขาก็พร้อมจะเสี่ยงดู ถึงไม่หายแต่ขอให้ความปวดลดลงบ้างก็ยังดี
จ้าวอิงเริ่มแกะผ้าเก่า ๆ ที่พันข้อเท้าเขาออก ผ้าที่ซับเลือดซับหนองจนสกปรกไปหมดแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นแผลยิ่งน่าตกใจเพราะเนื้อเริ่มเน่าบางส่วน กลางแผลมีหนองจำนวนมาก
“ท่านแม่ยกตะเกียงมาใกล้อีกหน่อยเจ้าค่ะ” จ้าวอิงบอกโดยไม่เงยหน้า
“ได้ ๆ” จางซื่อตอบแล้วถือตะเกียงมาส่องเหนือแผลให้นางทันที
“อาจจะเจ็บเล็กน้อยนะเจ้าคะ ข้าต้องขูดเอาเนื้อเน่าออกก่อน” จ้าวอิงบอกกับพ่อลู่ ปกติต้องฉีดยาชาเข้ากล้ามเนื้อ แต่นางไม่สามารถเอาเข็มฉีดยาออกมาใช้แบบโต้ง ๆ ได้ นางจึงต้องหยดยาชาลงบนแผลให้เขาเล็กน้อยเพื่อให้เจ็บน้อยลง
“ข้าทนไหว” พ่อลู่ตอบเสียงสั่นเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าได้เวลาที่ยาชาน่าจะออกฤทธิ์แล้วจ้าวอิงก็เอามีดผ่าตัดเล็ก ๆ ออกมาเริ่มจัดการเนื้อเน่าทันที จนกระทั่งเนื้อกลายเป็นสีแดงแล้วจึงหยุดลง ใช้น้ำเกลือที่เตรียมเอาไว้ล้างอีกครั้ง จากนั้นก็โรยผงยาปฏิชีวนะลงไป ใช้ผ้าพันแผลที่สะอาดพันด้านในก่อน จากนั้นก็ใช้แถบผ้าฝ้ายที่ซื้อมาวันนี้พันทับด้านนอก จะได้ไม่มีใครเห็นผ้าก๊อชที่นางเอามาใช้
จางซื่อหันหลังให้นางตั้งแต่ที่จ้าวอิงเริ่มเปิดแผลแล้ว จึงไม่ได้เห็นว่าจ้าวอิงหยิบของแปลกประหลาดออกมาใช้มากมาย ส่วนพ่อลู่ก็เป็นโรคตาบอดกลางคืน ยิ่งแสงน้อยภาพที่เห็นก็ยิ่งพร่ามัว เขาจึงไม่เห็นอุปกรณ์ชัด ๆ เช่นกัน
ส่วนเสี่ยวเป่าน่ะหรือ แม้จะเห็นทุกอย่างแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เขาเพียงตื่นเต้นที่เห็นแม่เขาทำแผลให้ปู่เท่านั้น
“เสร็จแล้ว ท่านหมอกำชับมาว่าห้ามให้แผลโดนน้ำ และห้ามแกะมันออกเอง พรุ่งนี้ตอนเย็นค่อยทำแผลอีกครั้งเจ้าค่ะ” จ้าวอิงกำชับพ่อลู่ตามแบบฉบับของการดูแลแผล จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง
คืนนี้เสี่ยวเป่ามานอนกับจ้าวอิง เริ่มแรกนางก็ไม่คุ้นชินอยู่บ้าง นางนึกถึงตอนที่ยังเด็กพ่อและแม่ของนางจะผลัดเปลี่ยนกันมาเล่านิทานให้นางและน้องชายฟังอยู่บ่อย ๆ และตอนนั้นนางก็มีความสุขมาก ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจะเล่านิทานสักเรื่องให้เขาฟัง
“แม่จะเล่านิทานให้เสี่ยวเป่าฟัง อยากฟังหรือไม่”
“อยากขอรับท่านแม่”
เสี่ยวเป่าดวงตาเป็นประกายในความมืด วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้นอนกับแม่เพียงสองคน แถมท่านแม่ยังใจดีเล่านิทานให้อีก หลังจากเล่านิทานกระต่ายกับเต่าจบลง เสี่ยวเป่าก็ตื่นเต้นเกินกว่าจะข่มตานอนได้ กว่าจะหลับสนิทก็ค่อนคืนแล้ว
ส่วนจ้าวอิงวันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวันเมื่อเห็นเสี่ยวเป่าหลับสนิท นางก็แอบเข้าห้วงมิติไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาโอบตัวเสี่ยวเป่าไว้และหลับไปเช่นกัน ...
เช้าวันถัดมาจ้าวอิงตื่นขึ้นในรุ่งสางพร้อมกับมองข้าง ๆ ยังเห็นเสี่ยวเป่าหลับอยู่ นางจึงลุกขึ้นมาเพียงลำพัง ค่อย ๆ แง้มประตูออกมาดูด้านนอก
ตอนนี้ในครัวมีควันจากเตาลอยออกมาแล้ว นางจึงรีบล้างหน้า ล้างตา จัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าครัวทันที ในครัวจางซื่อกำลังนั่งหน้าเตาเติมเชื้อไฟอยู่ เห็นได้ว่าตื่นมาพักใหญ่แล้ว ข้าวในหม้อเป็นข้าวข้น จางซื่อไม่รังเกียจที่จะใช้ข้าวของที่จ้าวอิงซื้อหามาอีกแล้ว
“ท่านแม่ให้ข้าทำเถิดเจ้าค่ะ” จ้าวอิงเดินเข้าไปในครัว
“ไม่ต้อง ๆ เรื่องทำอาหารให้ข้าทำเถอะ เดี๋ยวจะเข้าป่ามิใช่หรือไปเตรียมตัวเถอะ” จางซื่อปฏิเสธ
ได้ยินดังนั้นจ้าวอิงก็ไม่ฝืนเช่นกัน นางพยักหน้าแล้วบอกจางซื่อว่า“ท่านแม่ข้าวของในครัวท่านใช้ได้เลยนะเจ้าคะ ไม่ต้องประหยัดมากเกินไป ยังไงเรื่องปากท้องก็สำคัญที่สุด ยาของท่านพ่อก็อยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ ข้าไปเตรียมตัวก่อนแล้ว”
จางซื่อพยักหน้าแล้วตอบว่า “ได้”
นางมองจ้าวอิงเดินออกไป พลางคิดในใจว่าจะเป็นแบบนี้ได้อีกกี่วัน ถ้านางเป็นแบบนี้ได้ตลอดไปคงจะดีไม่น้อย นางแอบทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา
มื้อเช้าวันนี้มีข้าวต้มสีขาวข้นคลั่ก มิใช่น้ำข้าวใส ๆ ดังวันก่อน และยังมีเครื่องในตุ๋นของมื้อเย็นที่กินไม่หมดอีกด้วย ทำให้มื้อเช้านี้ดีมากทีเดียว แต่เนื้อตุ๋นนี้ไม่สามารถกินมื้อเที่ยงได้อีกแล้ว เนื่องด้วยอากาศที่ยังร้อนอยู่อาหารบูดเสียได้ง่ายมาก
“น่าเสียดายเนื้อยังเหลืออีกนิดหน่อย พ่อเจ้ากินให้หมดเลยนะ” จางซื่อมองเครื่องในที่ยังเหลืออีกเกือบครึ่งถ้วยอย่างเสียดาย
“ได้สิเจ้าก็กินเยอะ ๆ” พ่อลู่บอกกับจางซื่อ
“กินไม่ไหวแล้วสองมื้อมานี้ข้าคงกินเยอะที่สุดในชีวิตแล้ว”
“ใช่ขอรับอาหารวันนี้กับเมื่อวานอร่อยที่สุดในชีวิตข้าแล้ว” เสี่ยวเป่าก็เข้าร่วมวงสนทนากับพวกผู้ใหญ่เช่นกัน
“หลังจากนี้เราจะกินของอร่อย ๆ ทุกวันเลย ดีหรือไม่” จ้าวอิงฟังทั้งโต๊ะคุยกัน แม้จะเป็นประโยคง่าย ๆ แต่ไม่รู้เหตุใดนางจึงจุกในอกเหลือเกิน
“ดีที่สุดขอรับท่านแม่” เสี่ยวเป่ายังคงสดใสอยู่เช่นเดิม
หลังกินข้าวเสร็จจ้าวอิงเก็บถ้วยชามไปล้าง โดยมีเสี่ยวเป่ามาช่วยนางด้วย แม้ว่าเขาจะยังเงอะงะอยู่บ้าง แต่เขาก็ตั้งใจเต็มที่จนเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดออกมาตรงปลายจมูก นางเอ็นดูเด็กคนนี้จากใจจริง เขาช่างรู้ความเป็นที่สุด ไม่รู้มารดาแท้ ๆ คิดอันใดอยู่ถึงได้ใจดำกับเด็กคนนี้ได้ถึงเพียงนั้น
ก่อนขึ้นเขาจ้าวอิงกำชับพ่อลู่ว่าอยู่แต่ในบ้าน เคลื่อนไหวขาให้น้อยที่สุด บาดแผลจะได้หายเร็วขึ้น และย้ำเสี่ยวเป่าให้ดูแลท่านปู่ของเขาให้ดี เสี่ยวเป่าตอบรับอย่างขันแข็ง
เมื่อข้ามแม่น้ำมาก็เริ่มเข้าสู่ชายป่า ทางเดินแรกเริ่มเป็นแนวหิน ทั้งก้อนใหญ่ก้อนเล็ก และแนวไผ่ที่ลำต้นใหญ่ทีเดียว เมื่อสังเกตแล้วก็รู้ได้ว่านี่เป็นไผ่หวานที่มีหน่อขนาดใหญ่สามารถนำมาทำอาหารได้ แถมยังรสชาติดีอีกด้วย
เดินเข้ามาได้สักระยะจะผ่านทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ เหมือนเป็นเส้นแบ่งเขตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อผ่านแนวหญ้าเข้ามาก็เข้าเขตป่าทึบ เดินอีกเป็นระยะทางไม่เกินห้าเมตรแสงแดดที่ส่องมาน้อยลงทันทีคล้ายกับเป็นคนละโลกกับทุ่งหญ้าเมื่อครู่ ป่าทึบแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นสน ต้นพยุง ไม้แดง ไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ ขึ้นสลับกับดอกไม้ป่า กล้วยไม้ป่า มีให้เห็นทั่วพื้นที่
มีผลไม้ป่าอยู่บ้างแต่ยังไม่ได้ดูให้แน่ชัดว่าสามารถกินได้หรือไม่ไว้นางค่อยมาดูอีกครั้ง และยังพบกุหลาบเลื้อยอีกด้วย ส่วนสัตว์ป่าที่พบมีทั้งกระต่าย กระรอก งูทั้งที่มีพิษ และไม่มีพิษ โชคดีที่นางเตรียมสมุนไพรไล่งูและแมลงติดมาด้วย แต่ไม่พบร่องรอยสัตว์ใหญ่ คาดว่าน่าจะอยู่ลึกเข้าไปอีก
เดินลึกเข้ามาเกือบหนึ่งชั่วยามจ้าวอิงพบกับธารน้ำตก ที่ลดหลั่นกันมาเป็นช่วง ๆ แต่ละขั้นไม่สูงมากระยะกว้างประมาณสิบถึงสิบห้าเมตรได้ ปลาที่กินเนื้อได้ก็มีมากมายเช่นกันพวกมันกำลังว่ายแข่งกับกระแสน้ำอยู่
พื้นดินรอบ ๆ พบร่องรอยของสัตว์ใหญ่มาดื่มน้ำบริเวณนี้ จากที่เห็นน่าจะมีทั้งม้าสัตว์ตระกูลวัวกระทิง และยังมีรอยเท้าเสืออีกด้วย แถมยังสดใหม่ไม่เกินสามวันที่ผ่านมา หากวางกับดักใกล้ ๆ นี้ นางมั่นใจว่าต้องได้สัตว์แน่นอน
“ป่านี้อุดมสมบูรณ์ดีจริง ๆ” นางพูดกับตัวเอง
เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำทันที จ้าวอิงขุดหลุมลึกประมาณช่วงเอว จากนั้นนำไม้ไผ่ตัดให้แหลมแล้วปักไว้ด้านล่าง และนำสมุนไพรล่อสัตว์ และเนื้อสดจากห้วงมิติออกมาวางด้านล่างอีกสองวันค่อยมาตรวจสอบอีกครั้ง แผนการวันนี้คือเข้าป่าแล้ว ‘โชคดี’ ได้เห็ดหลินจือสองสามดอก
จึงไม่ได้รีบร้อนออกจากป่า เพียงเดินกลับทางเดิมแล้วเก็บสมุนไพรป่าผักป่ามาตามทาง นางยังพบเคลือมันหวานป่าอีกด้วย ดูจากเถาเครือแล้วคาดว่าอีกครึ่งเดือนน่าจะเก็บเกี่ยวได้ ถ้าเก็บเกี่ยวได้จ้าวอิงจะนำไปทำพันธุ์เพาะปลูกที่บ้าน แน่นอนว่าของจริงที่ลงปลูกย่อมเป็นสายพันธุ์จากสวนในห้วงมิติของนางเอง นั่นเป็นสายพันธุ์เบนิฮารุกะของญี่ปุ่นที่นางชื่นชอบ ฮิฮิ! แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
เมื่อดูจากแสงแดด คาดว่าน่าจะเลยมื้อกลางวันมาแล้ว ชาวบ้านทั่วไปกินข้าวเพียงสองมื้อเท่านั้นคือเช้าและเย็น เวลากลางวันจะเพียงพักเหนื่อยชั่วครู่ แล้วทำงานต่อ หนึ่งก็เพื่อได้ปริมาณงานที่มากที่สุด และสองเพื่อประหยัดเสบียง
จ้าวอิงต้องการให้ที่บ้านกินอาหารสามมื้อเหมือนยุคปัจจุบัน และปรับโภชนาการของครอบครัวให้ดีขึ้น ดังนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปนางจะต้องให้แม่สามีนาง ทำอาหารสามมื้อให้ได้ หากไม่ได้นางจะลงมือทำเอง
ดูสิถ้าทำไปแล้วพวกเขาจะกินหรือไม่
ก่อนกลับนางยังทดลองนำเมล็ดผักบางอย่างเช่น ผักกาดกว้างตุ้ง ผักบุ้งน้ำ และสมุนไพรสองสามอย่างลงปลูกไว้ข้าง ๆ ลำธารเผื่อว่าพวกมันจะเติบโตที่นี่ได้
เดินออกจากป่าก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วยาม เมื่อกลับถึงบ้านก็เลยเวลาที่จะเข้าไปตำบลเพื่อขายสมุนไพรแล้ว นางเดินลัดเลาะออกมาจากป่า ผ่านเข้ามาทางด้านหลังบ้าน ตอนนี้ไม่พบใครที่หลังบ้านเลย นางจึงได้นำกระบุงที่แบกมาวางไว้ในครัวก่อนจะเดินออกไปดูที่ลานหน้าบ้าน
เมื่อเข้าไปในลานบ้านก็พบกับกองไม้ที่เพิ่งตัดมาใหม่ และช่างอีกสามสี่คนที่มาเริ่มซ่อมแซมบ้าน ซึ่งวันนี้พ่อลู่ให้เริ่มจากฝั่งของห้องจ้าวอิงก่อน
วันถัดไปค่อยซื้อกระเบื้องและซ่อมแซมฝั่งที่สองสามีภรรยาลู่พักอยู่ เมื่อช่างไม้ที่มาทำงานเห็นจ้าวอิงเดินเข้ามาก็ชะงักไปชั่วครู่ นางรับรู้ถึงสายตารังเกียจและแปลกใจจากคนเหล่านั้น แต่ก็แค่พริบตาเดียวก็หันไปทำงานต่อ
จ้าวอิงพอใจอย่างมาก อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็เพียงมีภาพจำของจ้าวอิงอิงเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ว่ากระไรมีงานก็ทำงานของพวกเขา ไม่เหมือนผู้หญิงปากตลาดหลายคนที่เป็นศัตรูกับนาง พวกผู้ชายก็เพียงมองจากนั้นหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อไป